ไทยกัมพูชาชายแดนเดือด โดรนพลีชีพ ปราสาทตาควาย ศึกข้อมูลข่าวสารบนเกมการเมืองระดับภูมิภาค

ดูบอลสด ดูบอลออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง

สถานการณ์ ไทยกัมพูชา ตามแนวชายแดนกลับมาร้อนระอุอีกครั้ง หลังเสียงระเบิดและเสียงปืนจากวันที่ 7 ธันวาคม 2568 บริเวณภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ลุกลามกลายเป็นการปะทะยืดเยื้อ ขยับจาก “ข่าวไกลตัว” มาเป็นวิกฤตความมั่นคงที่คนไทยทั้งประเทศต้องจับตา เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องปืนใหญ่–จรวด แต่เป็นสนามทดลอง สงครามสมัยใหม่ ที่มีทั้งโดรนพลีชีพ การเมืองชายแดน และศึกข้อมูลข่าวสารบนเวทีนานาชาติพัวพันอยู่ในเวลาเดียวกัน

บ้านกีฬา พาเจาะลึกแบบอ่านจบแล้ว “เห็นทั้งสนาม” ว่าเกมไทยกัมพูชารอบนี้กำลังเดินหน้าไปทางไหน อะไรคือภัยคุกคามใหม่ที่ต้องรู้เท่าทัน และทำไมความขัดแย้งนี้จึงกระทบตั้งแต่ชาวบ้านริมชายแดน ไปจนถึงเศรษฐกิจ–ภาพลักษณ์ประเทศในสายตาโลก

ภาพรวมสถานการณ์ล่าสุดชายแดนไทย–กัมพูชา

จุดเริ่มต้นความเดือดระลอกใหม่ เกิดหลังฝ่ายกัมพูชาถูกกล่าวหาว่าใช้อาวุธยิงเข้ามาฝั่งไทยในพื้นที่ภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อน ก่อนสถานการณ์จะลุกลามกลายเป็นการปะทะต่อเนื่องหลายจุดตามแนวสันเขาดงรัก ฝ่ายไทยตอบโต้ด้วยอาวุธหนัก ยิงสวนไปยังฐานปฏิบัติการของกัมพูชาที่ตั้งใกล้ ปราสาทตาควาย ซึ่งเป็นโบราณสถานสำคัญในพื้นที่พิพาท

รายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า ฝ่ายกัมพูชาใช้ทั้ง BM-21 และปืนใหญ่ยิงเข้ามาในฝั่งไทยอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ฝั่งไทยเองก็อยู่ในโหมด “ป้องกันตัวเต็มรูปแบบ” เพราะไม่ใช่แค่ปืนใหญ่และจรวด แต่ยังมีการใช้ โดรนโจมตีแบบ FPV (First Person View) และ โดรนพลีชีพ เข้ามาเป็นเครื่องมือในสนามรบด้วย

ด้านเวทีโลก สำนักข่าวระดับนานาชาติรายงานว่าไทย–กัมพูชากลับเข้าสู่ ภาวะสงครามชายแดนขนาดเล็ก อีกครั้ง หลังจากความพยายามหยุดยิงหลายครั้งล้มเหลว และมีการกล่าวหากันไปมาว่าใครเริ่มยิงก่อน ใครละเมิดข้อตกลงก่อน

ยุทธวิธีโดรนพลีชีพ–กับดัก GPS : ภัยคุกคามแนวรบยุคใหม่

รายงานภายในของ กองทัพภาคที่ 2 ชี้ภาพชัดว่า ชายแดนไทย–กัมพูชาไม่ได้มีแค่ปืนใหญ่ยิงใส่กันแบบยุคเก่าอีกต่อไป แต่กำลังเข้าสู่สมรภูมิของ FPV UAV และโดรนพลีชีพเต็มรูปแบบ

รูปแบบการเข้าตีโดยสรุป

  • มี โดรนนำร่อง (Lead Drone) ทำหน้าที่บินวน หลอกล่อ และระบุเป้าหมาย
  • ตามมาด้วย โดรนติดระเบิด (เช่น ลูก ค.82 มม.) พุ่งชนเป้าแบบ “พลีชีพ”
  • บางจุดมี การทิ้งกล่องหรืออุปกรณ์ที่ติด GPS เอาไว้ ทำหน้าที่เป็น “เหยื่อ” ล่อให้กำลังพลเข้าไปตรวจสอบ ก่อนส่งพิกัดให้ปืนใหญ่หรือโดรนชุดถัดไปยิงซ้ำ

กองทัพเตือนชัดว่า ซากโดรนที่ยังมีเสียงหรือมีสิ่งผิดปกติติดอยู่ อาจเป็นกับดัก ไม่ใช่ของเล่นที่วิ่งไปถ่ายรูปแล้วโพสต์โซเชียลได้ง่ายๆ การรวมกลุ่มเข้าไปมุงดูคือความเสี่ยง เพราะพิกัดทุกอย่างในสนามรบยุคนี้ถูกส่งต่อผ่านดาวเทียม–ระบบนำร่องได้ภายในไม่กี่วินาที

สำหรับประชาชนที่อาศัยใกล้แนวปะทะ สิ่งสำคัญที่สุดคือ

  • ต้องปฏิบัติตามประกาศอพยพของทางการ
  • หลีกเลี่ยงการถ่ายภาพ/ไลฟ์สดจุดตั้งฐาน–การเคลื่อนกำลังทหาร
  • ไม่แตะต้องวัตถุต้องสงสัย ซากโดรน หรือกล่องอุปกรณ์ที่ไม่รู้ที่มา

สงครามยุคใหม่ไม่ใช่แค่ใครมีปืนใหญ่กว่า แต่คือ ใครควบคุมข้อมูล–พิกัด–ภาพจากอากาศได้ดีกว่า ต่างหาก

ปราสาทตาควาย–โบราณสถานกลางสมรภูมิ กับกฎหมายคุ้มครองมรดกโลก

หนึ่งในประเด็นที่ทำให้ฝ่ายไทยออกมาวิพากษ์วิจารณ์แรง คือการที่กัมพูชาถูกกล่าวหาว่าใช้ ปราสาทตาควาย ซึ่งเป็นโบราณสถานโบราณริมแนวเขตแดน เป็นฐานปฏิบัติการทางทหารและจุดยิงอาวุธ

ประเด็นนี้โยงตรงไปถึง อนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ.1954 ว่าด้วยการคุ้มครองทรัพย์สินทางวัฒนธรรมในกรณีพิพาททางอาวุธ ซึ่งเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศฉบับสำคัญ ดูแลโดยยูเนสโก มีสาระสำคัญว่า

  • รัฐภาคีต้อง “คุ้มครอง” มรดกทางวัฒนธรรมทั้งของตนเองและของประเทศอื่น ในภาวะสงคราม
  • ห้ามใช้โบราณสถานหรือทรัพย์สินทางวัฒนธรรมเป็นฐานทัพหรือเป้าหมายทางทหาร หากทำให้เสี่ยงต่อการถูกทำลาย เว้นแต่ในกรณี “ความจำเป็นทางทหารขั้นสูงสุด” เท่านั้น

คำถามใหญ่ที่โลกจับตาคือ

“เราจะปกป้องอธิปไตยของตัวเอง โดยไม่ต้องแลกกับการทำลายมรดกทางประวัติศาสตร์ของภูมิภาคนี้ได้อย่างไร”

เพราะหากโบราณสถานใดถูกใช้เป็นฐานยิง ปลายทางแทบเลี่ยงไม่ได้ที่จะกลายเป็นเป้าหมายตอบโต้ และความเสียหายที่เกิดขึ้น “ไม่มีใครซ่อมประวัติศาสตร์กลับคืนได้”

ศึกข้อมูลข่าวสาร : ทำไม “การสื่อสารกับนานาชาติ” สำคัญไม่แพ้สมรภูมิจริง

ในขณะที่ปืนใหญ่–โดรนทำงานบนแนวเขตแดน อีกสมรภูมิหนึ่งที่ร้อนแรงไม่แพ้กัน คือ สนามข่าวต่างประเทศ และ การสื่อสารกับนานาชาติ

รศ.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ให้ภาพชัดเจนว่า ตอนนี้สื่อต่างชาติจำนวนไม่น้อย โฟกัสไปที่ปฏิบัติการทางอากาศของไทย เป็นหลัก โดยแม้รายละเอียดในเนื้อข่าวบางฉบับจะระบุว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดปฏิบัติการก่อน แต่พาดหัวข่าว–มุมเสนอ ทำให้ภาพที่ออกไปคือไทยเป็นฝ่าย “บุกโจมตี” เป็นหลัก

ประเด็นใหญ่ที่สะท้อนผ่านคำให้สัมภาษณ์คือ

  • สงครามยุคนี้ไม่ได้จบที่ “ใครยิงใครก่อน” แต่จบที่ “คนทั้งโลกเข้าใจอะไรจากข่าวที่เขาเห็น”
  • การสื่อสารของไทยต้องชัดเจน กระชับ และส่งตรงไปยัง สำนักข่าวใหญ่–รัฐบาลต่างประเทศ ให้เข้าใจว่าไทยยืนอยู่บนหลักการใด
  • จุดยืนสำคัญที่ต้องสื่อคือ “ไทยปกป้องอธิปไตย แต่จะไม่ก้าวล้ำเกินกว่าจำเป็น” เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าเป็นฝ่ายจุดชนวนให้สถานการณ์บานปลาย

นี่คือสิ่งที่หลายประเทศใช้คำว่า Information Warfare – ศึกแย่งการนิยามความจริง ซึ่งถ้าไทยสื่อสารไม่ดี อาจต้องจ่าย “ต้นทุนทางการทูต–เศรษฐกิจ–การลงทุน” แพงกว่าที่คิดในระยะยาว

ไทยกัมพูชา : จากเพื่อนบ้านการค้าใหญ่ สู่คู่ขัดแย้งชายแดนยืดเยื้อ

ความจริงแล้ว ถ้ามองจากมุมเศรษฐกิจ–สังคม ความสัมพันธ์ ไทย–กัมพูชา ไม่ได้มีแต่ความขัดแย้ง

  • ชายแดนสองประเทศยาวราว 800–820 กิโลเมตร จากเทือกเขาดงรักลงไปถึงอ่าวไทย แนวเขตแดนนี้เคยเป็นทั้งสนามรบในอดีต และปัจจุบันก็เป็นประตูการค้าสำคัญของภูมิภาค
  • ไทยเป็นหนึ่งใน คู่ค้าใหญ่ของกัมพูชา การค้าระหว่างสองประเทศเคยมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี ทั้งสองฝ่ายตั้งเป้าให้มูลค่าการค้าพุ่งแตะ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในอนาคต
  • ไทยนำเข้าสินค้า–แรงงานจากกัมพูชาจำนวนมาก ขณะเดียวกัน คนกัมพูชาก็อาศัยรายได้จากการทำงานในไทยและค้าขายบริเวณด่านชายแดนเพื่อเลี้ยงครอบครัว

แต่เมื่อเกิดความขัดแย้งชายแดนรุนแรงในปี 2568 หลายอย่างสะเทือนทันที

  • ด่านชายแดนสำคัญถูกปิด การค้า–การขนส่งสะดุด บางช่วงตัวเลขชี้ว่าการค้าชายแดนฝั่งกัมพูชาดิ่งลงอย่างหนัก ขณะที่ฝั่งไทยเองก็เสียรายได้ทั้งจากการส่งออกและการท่องเที่ยวเชื่อมเส้นทางบก
  • นักท่องเที่ยวที่เคยเดินทางทางบกระหว่างอรัญประเทศ–ปอยเปต เพื่อไป นครวัด–นครธม ต้องเปลี่ยนเส้นทาง หรือยกเลิกทริปไปเลย

นี่คือเหตุผลว่าทำไม เกมการเมือง–ความมั่นคงระหว่าง ไทยกัมพูชา จึงไม่ใช่เรื่องของทหารอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับปากท้องผู้คนสองฝั่งแบบเต็มๆ

รากลึกข้อพิพาทไทย–กัมพูชา : จากแผนที่ยุคล่าอาณานิคม ถึงศึกปราสาทโบราณ

ถ้าจะเข้าใจความร้อนแรงของชายแดนรอบนี้ ต้องมองย้อนกลับไปที่ “แผลเก่า” เรื่องเขตแดน ที่ลากยาวมานานกว่าศตวรรษ

  • แนวเขตแดนไทย–กัมพูชาถูกกำหนดส่วนใหญ่ในยุคที่ฝรั่งเศสมีอิทธิพลในอินโดจีน แผนที่หลายฉบับถูกทำโดยชาติล่าอาณานิคม และกลายเป็นต้นตอความเห็นต่างของทั้งสองฝ่ายมาจนถึงทุกวันนี้
  • พื้นที่รอบปราสาทโบราณหลายแห่ง เช่น ปราสาทพระวิหาร (เปรียะวิเฮียะร์), ปราสาทตาเมือน, ปราสาทตาควาย กลายเป็นสัญลักษณ์ของความภาคภูมิใจทางประวัติศาสตร์ และถูกดึงเข้าไปอยู่ในเกมการเมืองภายในของทั้งสองประเทศอยู่เสมอ

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายเคยพยายาม

  • จัดตั้ง คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC)
  • ปักปันเขตแดนชั่วคราวบางส่วน
  • ใช้เวทีศาลโลกและเวทีอาเซียนช่วยลดความตึงเครียด

แต่ทุกครั้งที่การเมืองภายในประเทศใดประเทศหนึ่งสั่นคลอน หรือมีเหตุการณ์จุดชนวน เช่น กรณีเหมืองกับระเบิด–แรงกดดันเรื่องสแกมเมอร์ข้ามแดน หรือข้อพิพาทเชิงสัญลักษณ์เกี่ยวกับโบราณสถาน ความขัดแย้งก็พร้อมปะทุขึ้นใหม่เสมอ

ชายแดนไทยกัมพูชา : พื้นที่เสี่ยง–พื้นที่ชีวิต–พื้นที่หวัง

แม้ข่าวใหญ่จะเต็มไปด้วยคำว่า “ยิงถล่ม–ปะทะ–อพยพ” แต่ในมุมของคนท้องถิ่น ชายแดนไทย–กัมพูชาคือ

  • ตลาดการค้าชายแดนที่คึกคัก
  • จุดผ่านแดนของแรงงาน–นักท่องเที่ยว
  • ชุมชนที่มีเครือญาติข้ามชาติ แต่งงานข้ามแดน พูดกันได้หลายภาษาในหมู่บ้านเดียว

งานวิจัยและบทวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจชายแดนชี้ตรงกันว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทย–กัมพูชาในมิติ การค้า แรงงาน และการท่องเที่ยว แน่นแฟ้นกว่าที่หลายคนคิด การปิดด่านแต่ละครั้งทำให้ผู้ประกอบการรายย่อย–คนทำมาหากินสองฝั่ง ต้องรับแรงกระแทกเต็มๆ และยิ่งความขัดแย้งลากยาวเท่าไร โอกาสฟื้นตัวทางเศรษฐกิจก็ถดถอยตามไปด้วย

ดังนั้นทุกครั้งที่มีเสียงปืนดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงคำถามเดิมๆ ว่า

“จะจบอย่างไร และใครได้อะไรจากความรุนแรงนี้บ้าง นอกจากความสูญเสียของคนชายแดน”

เกมยืดเยื้อ 2568 : ไทยควรวางหมากอย่างไรบนกระดานภูมิรัฐศาสตร์

ในมุมยุทธศาสตร์ ระดับการปะทะปัจจุบันทำให้หลายฝ่ายประเมินไปในทิศทางเดียวกันว่า

  • ไทยยังคงได้เปรียบด้านกำลังรบและเทคโนโลยี แต่
  • กัมพูชามี ความชำนาญพื้นที่–การรบกลางคืน–การใช้โดรนและจรวดระยะไกล ที่ประมาทไม่ได้
  • มีสัญญาณว่ามีผู้เชี่ยวชาญจากต่างชาติอาจเข้ามาช่วยทั้งด้านโดรน–ระบบยิงจรวดในพื้นที่แนวหน้า

โจทย์ของไทยจึงไม่ใช่แค่ “จะชนแค่ไหนถึงจะหยุดเขาได้” แต่คือ

  1. จะรักษาหลักการ ปกป้องอธิปไตย โดยไม่ปล่อยให้สถานการณ์ลุกลามเป็นสงครามใหญ่
  2. จะใช้เวทีอาเซียน–นานาชาติ กดดันให้คู่กรณีร่วมมือในกลไกสันติภาพอย่างไร
  3. จะกลับมา ฟื้นเสถียรภาพชายแดน–เศรษฐกิจ–ความเชื่อมั่นนักลงทุน หลังจบวิกฤตอย่างไร

เพราะในยุคที่โลกจับตาเรื่องสิทธิมนุษยชน มรดกทางวัฒนธรรม และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ การตัดสินใจผิดเพียงครั้งเดียวอาจทำให้ไทยต้องจ่ายค่าปรับในรูปของภาพลักษณ์ประเทศ–เครดิตการเมืองต่างประเทศ–โอกาสทางเศรษฐกิจไปอีกหลายปี

บทเรียนสำหรับคนไทย : รัฐธรรมนูญ–ความมั่นคง–บทบาทของประชาชน

ศึกชายแดนครั้งนี้ ไม่ได้ชวนให้เรามองแต่เรื่องปืน–จรวดเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นว่า

  • กฎหมายระหว่างประเทศ อย่างอนุสัญญากรุงเฮก
  • รัฐธรรมนูญไทย ที่กำหนดบทบาทของรัฐบาล–กองทัพ–ประชาชน
  • และ บทบาทของสื่อ–พลเมืองออนไลน์ ล้วนเกี่ยวพันโดยตรงกับความมั่นคงของประเทศ

ประชาชนทั่วไปอาจไม่ได้ขึ้นแนวหน้า แต่ทำได้อย่างน้อย 3 อย่าง

  1. เสพข่าวอย่างมีสติ แยกแยะระหว่างข้อมูลจริง–ข่าวปลอม–คลิปตัดต่อ
  2. ไม่ผลิต–ไม่แชร์ข้อมูลอ่อนไหวทางยุทธการ เช่น ตำแหน่งตั้งปืน–การเคลื่อนย้ายกำลังพล
  3. รักษาพื้นที่สนทนาอย่างสุภาพ ไม่ปลุกปั่นความเกลียดชังต่อประชาชนอีกฝ่าย เพราะท้ายที่สุด คนรบคือทหาร–คนเจ็บคือชาวบ้านสองฝั่ง

ศึกระหว่างรัฐอาจเลี่ยงไม่ได้ แต่ ศึกเกลียดชังระหว่างประชาชน คือสิ่งที่เราทุกคนช่วยกันป้องกันได้

สรุป : ไทยกัมพูชา – ศึกชายแดนที่ต้องลงเอยด้วยสติ มากกว่าอารมณ์

เมื่อมองทั้งภาพสนามรบจริง ภาพการเมืองต่างประเทศ และภาพเศรษฐกิจชายแดนแล้ว จะเห็นตรงกันว่า

  • การใช้ โดรนพลีชีพ–จรวด–ปืนใหญ่ คือสัญญาณว่าเกมชายแดนรอบนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก
  • การดึง โบราณสถาน เข้าไปอยู่ในสมรภูมิ เป็นประเด็นที่โลกไม่มองข้ามแน่ เพราะขัดกับหลักการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมระดับสากล
  • เศรษฐกิจ–การท่องเที่ยว–การค้า–ชีวิตผู้คนตลอดแนวชายแดน คือผู้รับแรงกระแทกตัวจริง

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าผลการเจรจา–กติกาทางการทูตจะออกมาแบบไหน สิ่งที่คนไทยต้องยึดไว้เหมือนกันคือ

ปกป้องแผ่นดิน ปกป้องศักดิ์ศรีชาติ
แต่ไม่ปล่อยให้ความเกลียดชังมาทำลายอนาคตของภูมิภาคนี้ไปพร้อมกัน

ใครที่อยากตามให้ทันทุกจังหวะ ทั้งข่าวความมั่นคง ชายแดน การเมือง และมุมมองเข้มข้นแบบอ่านง่าย สไตล์สนามกีฬาทางการเมืองแบบนี้ อย่าลืม ติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา

ตรวจหวย 24 ชั่วโมง หวยลาว หวยฮานอย

แอดไลน์ @Bankeela รับลิ้งดูบอล ทีเด็ด วิเคราะห์บอลจากทางบ้านกีฬา