ศึกทุ่นระเบิดชายแดนไทย–กัมพูชา : ปมร้อนที่โลกเริ่มจับตา
ตลอดปี 2568 ชายแดนไทย–กัมพูชากลับมาเดือดอีกครั้ง ไม่ใช่แค่เรื่องเส้นเขตแดนบนแผนที่ แต่คือชีวิตจริงของทหารที่ต้องเสียขา เสียอนาคต และความเชื่อมั่นต่อ “ข้อตกลงปลอดทุ่นระเบิด” ของโลกกำลังถูกท้าทายอย่างหนักข้อมูลจากสื่อสากลและหน่วยงานระหว่างประเทศระบุว่า ตั้งแต่กลางปี เกิดเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนหลายครั้ง ทำให้ทหารได้รับบาดเจ็บรวมหลายสิบราย ในจำนวนนี้มีอย่างน้อย 7 นายที่ต้องสูญเสียอวัยวะจากเหตุระเบิดใกล้พื้นที่พิพาท เช่น บริเวณช่องบก ช่องอานม้า และแนวเทือกเขาพนมดงรัก รัฐบาลไทยมองว่านี่ไม่ใช่ “อุบัติเหตุจากทุ่นเก่าที่หลงเหลือ” แต่เป็นการฝังทุ่นระเบิดใหม่ที่ละเมิด อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) โดยตรง ขณะที่ฝั่ง กัมพูชา ยืนยันเสียงแข็งว่า ปฏิบัติตามอนุสัญญาอย่างเคร่งครัด และระบุว่าเหตุระเบิดมาจากทุ่นเก่าที่เหลือจากสงครามในอดีต ไม่ใช่การวางใหม่แต่อย่างใด
สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ขึ้นเวทีเจนีวา ใช้ “ข้อ 8” กดดันกัมพูชาเป็นครั้งแรกของโลก
วันที่ 5 ธันวาคม 2568 ที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 22 กลายเป็นเวทีใหญ่ที่โลกจับตา เมื่อ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย เดินทางไปชี้แจงด้วยตัวเอง ไม่ใช่แค่ส่งทูตประจำเจนีวาเหมือนทุกปี เพื่อสื่อสารว่า รัฐบาลไทย “เอาจริง” กับประเด็นนี้
ไทยระบุในที่ประชุมว่า ทหารไทยได้รับบาดเจ็บและพิการจากทุ่นระเบิดที่มีหลักฐานบ่งชี้ว่าเป็นการวางใหม่ ซึ่งถือเป็นการละเมิด ข้อ 1 ของอนุสัญญาออตตาวา ที่ห้ามใช้ ผลิต และเก็บกักทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยเด็ดขาด พร้อมย้ำว่าไทยได้ทำทุกช่องทางทวิภาคีกับกัมพูชาแล้ว แต่คำชี้แจงจากฝั่งกัมพูชา “ฟังไม่ขึ้น” และไม่ตอบตรงประเด็น
จุดเปลี่ยนสำคัญคือ ไทยประกาศ “ใช้สิทธิภายใต้ข้อ 8 วรรค 2” ของอนุสัญญา เพื่อขอให้เลขาธิการสหประชาชาติประสานจัดตั้ง คณะผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-finding Mission) ที่เป็นอิสระและไม่เข้าข้างฝ่ายใด นับเป็นครั้งแรกในรอบ 27 ปีของอนุสัญญาที่มีชาติภาคีเดินเกมถึงขั้นนี้

ไทยย้ำ “ไม่อยากทำให้เป็นเรื่องการเมือง แต่ต้องพูดแทนทหารที่เสียขา”
สาระสำคัญจากถ้อยแถลงของสีหศักดิ์ คือการส่งสัญญาณว่า ไทยไม่ได้ต้องการเอาเวทีออตตาวาไปลากเข้าสู่ความขัดแย้งทางการเมือง แต่ “จำเป็นต้องปกป้องทหารของตัวเอง”
ไทยระบุว่า ก่อนหน้านี้ได้ส่งหนังสืออย่างเป็นทางการถึงประธานการประชุมภาคีอนุสัญญาหลายฉบับ รายงานเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดในพื้นที่ที่เคยเคลียร์แล้ว พร้อมแนบพยานหลักฐาน ทั้งชนิดทุ่น (เช่น PMN-2 ที่เชื่อมโยงกับคลังอาวุธของกัมพูชา) พิกัดพื้นที่ และคลิปวิดีโอการเก็บกู้ รวมถึงภาพจากมือถือที่ยึดได้ซึ่งถูกอ้างว่ามีภาพทหารกัมพูชาถือทุ่น PMN-2 อยู่ในพื้นที่ชายแดน
ไทยชี้ว่า ถ้ารัฐภาคีคนใดสามารถวางทุ่นระเบิดใหม่แล้วปฏิเสธความรับผิดชอบได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องเผชิญผลทางกลไกอนุสัญญา ต่อไปเมื่อมีคนเจ็บเพิ่ม ความศักดิ์สิทธิ์ของอนุสัญญาออตตาวาจะเหลืออะไร นี่คือเหตุผลที่ไทยเลือกใช้กลไกข้อ 8 อย่างเต็มรูปแบบ
กัมพูชาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ย้ำปฏิบัติตามอนุสัญญาเต็มที่
ด้านกัมพูชาออกมาปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ระบุว่าไม่เคยวางทุ่นระเบิดใหม่ และย้ำว่าประเทศตัวเองคือหนึ่งในชาติที่ “เจ็บที่สุด” จากทุ่นระเบิดในอดีต ทั้งช่วงสงครามกลางเมืองและยุคเขมรแดง จนต้องใช้เวลาหลายสิบปีเคลียร์พื้นที่ทุ่นระเบิดทั่วประเทศ และยังเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมใหญ่ของอนุสัญญาออตตาวาในปี 2567 ที่เสียมราฐอีกด้วยหน่วยงานด้านทุ่นระเบิดของกัมพูชาบางส่วนมองว่า ข้อกล่าวหาของไทย “ไม่มีมูลเพียงพอ” และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ขณะที่สื่อบางสำนักในกัมพูชาชี้ว่า เหตุระเบิดอาจเกิดจากการที่ทหารหรือหน่วยอื่นๆ เดินเข้าไปยังพื้นที่ที่ยังไม่เคลียร์สมบูรณ์ หรือเป็นทุ่นเก่าที่ยังไม่ถูกเก็บกู้หมด ซึ่งเป็นปัญหาร่วมของหลายประเทศในภูมิภาคนี้ ไม่ใช่เฉพาะกัมพูชา
อนุสัญญาออตตาวา–ข้อ 8 คืออะไร ทำไมไทยถึง “งัดการบ้านเล่มนี้ขึ้นมาใช้”
อนุสัญญาออตตาวา หรือ Anti-Personnel Mine Ban Convention คือสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่มีเป้าหมายทำให้โลก “ปลอดทุ่นระเบิดสังหารบุคคล” ห้ามใช้ ผลิต กักเก็บ และส่งออก พร้อมทั้งกำหนดให้รัฐภาคีเคลียร์พื้นที่ทุ่นระเบิด และดูแลเหยื่ออย่างเป็นระบบ
จุดที่สำคัญในกรณีนี้คือ ข้อ 8 ของอนุสัญญา ซึ่งเปิดทางให้รัฐภาคี
- ขอคำชี้แจงจากรัฐคู่กรณี หากเชื่อว่ามีการละเมิด
- หากคำชี้แจงไม่เพียงพอ สามารถร้องขอให้รัฐภาคีทั้งหมดยกเรื่องขึ้นหารือในที่ประชุม
- และในขั้นสูงสุด สามารถขอให้เลขาธิการสหประชาชาติช่วยอำนวยความสะดวกจัดตั้ง “คณะผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง” ลงพื้นที่เก็บหลักฐานอย่างเป็นกลาง
การที่ไทยเดินไปถึงขั้นเรียกร้องให้ใช้ข้อ 8 วรรค 2 ผ่านเวทีเจนีวา จึงไม่ใช่แค่การโวยวายทางการเมือง แต่คือการโยนคำถามกลับไปยังประชาคมโลกว่า “กลไกในสนธิสัญญานี้ ใช้ได้จริงหรือแค่ตัวหนังสือ”
เส้นชายแดนไทย–กัมพูชา : พรมแดนบางๆ ระหว่างแผนที่ การเมือง และชีวิตคน
แนวชายแดนไทย–กัมพูชายาวราว 800 กิโลเมตร ผ่านตั้งแต่ภูเขา ป่าแนวพนมดงรัก ไปจนถึงพื้นที่ราบใกล้ชายฝั่งอ่าวไทย หลายจุดเคยเป็นสมรภูมิรบในยุคสงครามเย็นและความขัดแย้งภายในกัมพูชา ทิ้ง “มรดกมรณะ” เป็นทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดตกค้างกระจายเต็มพื้นที่
จุดเปราะบางอย่างบริเวณปราสาทพระวิหาร ตาเมือนธม ตาควาย ตาโมน รวมไปถึงแถบช่องบก–ช่องอานม้า เคยเป็นทั้งจุดปะทะทางทหาร และข้อพิพาททางกฎหมายในศาลโลกมาก่อน หลายหมู่บ้านฝั่งไทยและกัมพูชาต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความไม่แน่นอนว่า ใต้ดินที่เหยียบอยู่มีอะไรฝังอยู่บ้าง
สำหรับชาวบ้านและทหารที่ลาดตระเวน พื้นที่เหล่านี้ไม่ใช่แค่เส้นสีบนแผนที่ แต่คือความเสี่ยงในทุกก้าวเดิน เหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดในรอบปีที่ผ่านมา จึงยิ่งรื้อแผลเก่าทางประวัติศาสตร์ให้กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง
ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา และภาพลักษณ์อาเซียน
บนกระดาษ ไทยและกัมพูชาเป็น “เพื่อนบ้านในอาเซียน” ที่ต้องร่วมมือกันทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว และแรงงานข้ามแดน แต่ในโลกความจริง ความตึงเครียดที่ชายแดนและการกล่าวหากันเรื่องทุ่นระเบิด กำลังกลายเป็นบททดสอบใหญ่ของภูมิภาค
- ด้านการทูต ไทยเคยถึงขั้นเรียกเอกอัครราชทูตกลับประเทศ และสั่งปิดด่านบางส่วนเพื่อตอบโต้เหตุทุ่นระเบิดที่ผ่านมา ทำให้บรรยากาศชายแดนตึงตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- ด้านความมั่นคง การใช้ทุ่นระเบิดใหม่หากพิสูจน์ได้จริง ถือเป็นการถอยหลังครั้งใหญ่ของพยายามทำให้ภูมิภาคนี้ปลอดทุ่นระเบิด หลังจากที่หลายประเทศลงทุนมหาศาลเพื่อเคลียร์พื้นที่มาเป็นสิบๆ ปี
- ด้านภาพลักษณ์อาเซียน การที่ชาติสมาชิกต้องมาขึ้นเวที UN ขอให้ต่างชาติมาตั้งคณะตรวจสอบข้อเท็จจริงระหว่างกัน ย่อมทำให้คำว่าชุมชนอาเซียน “ที่แก้ปัญหากันเองได้” ถูกตั้งคำถามหนักขึ้นกว่าเดิม
คนบนแผ่นดินเดียวกันเจ็บก่อนการเมือง : มุมมองมนุษยธรรมที่ไม่ควรถูกกลบ
ท่ามกลางสงครามน้ำคำระหว่างรัฐบาลและสื่อทั้งสองประเทศ ตัวละครที่เจ็บที่สุดกลับไม่ใช่นักการเมือง แต่คือ
- ทหารหน้างานที่ต้องสูญเสียขา สูญเสียโอกาสในชีวิต
- ครอบครัวที่ต้องปรับตัวมาเป็นผู้ดูแลคนพิการตลอดชีวิต
- ชาวบ้านสองฝั่งชายแดนที่ต้องหวาดระแวงเวลาเข้าไปหาของป่า ทำไร่ ทำนา
องค์กรระหว่างประเทศด้านทุ่นระเบิดเคยเตือนซ้ำๆ ว่า เหยื่อทุ่นระเบิดแทบทั้งหมดไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจวางทุ่น แต่เป็นประชาชนและกำลังพลระดับล่างที่ต้องเดินอยู่ในพื้นที่เสี่ยงโดยไม่มีทางเลือกมากนัก
ไม่ว่าข้อเท็จจริงสุดท้ายจะชี้ไปที่ฝ่ายใด กลไกตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ไทยเรียกร้อง หากทำได้จริงและโปร่งใส ก็อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในการ “ปกป้องชีวิตคนบนพื้นดิน” มากกว่าปกป้องศักดิ์ศรีทางการเมืองของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

สรุป : ศึกทุ่นระเบิดครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องไทย–กัมพูชา แต่คือบทสอบของกติกาโลก
การที่ไทยใช้ข้อ 8 ของอนุสัญญาออตตาวา กดดันให้เลขาธิการสหประชาชาติตั้งคณะตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อกรณี กัมพูชา ถูกกล่าวหาวางทุ่นระเบิดใหม่ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้โลกต้องหันมามองว่า “สนธิสัญญาระหว่างประเทศ” จะมีพลังจริงหรือไม่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นกับประเทศสมาชิกตัวจริงเสียงจริง
ถ้ากลไกนี้เดินหน้าได้จนปลายทาง มีคณะผู้เชี่ยวชาญอิสระลงพื้นที่ ตรวจสอบทั้งหลักฐานทางเทคนิค แผนที่ พิกัด และคำให้การจากทั้งสองฝั่งอย่างโปร่งใส นี่อาจกลายเป็นตัวอย่างสำคัญของการใช้กติกาโลกแทนการใช้อาวุธ
แต่ถ้ากลไกนี้หยุดอยู่แค่ถ้อยแถลงสวยหรูบนเวทีเจนีวา ไม่สามารถพาไปสู่การสอบสวนจริง ความเสียหายจะไม่ได้เกิดกับไทยหรือ กัมพูชา เพียงสองประเทศ แต่จะกระทบต่อความน่าเชื่อถือของอนุสัญญาออตตาวาทั้งฉบับ
สิ่งที่สังคมไทยควรจับตาต่อจากนี้คือ
- เลขาธิการสหประชาชาติและรัฐภาคีจะตอบสนองคำขอของไทยอย่างไร
- กัมพูชาจะเปิดพื้นที่ให้มีการตรวจสอบจากคณะอิสระหรือไม่
- อาเซียนจะกล้าหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาช่วยคลี่คลายอย่างสร้างสรรค์แค่ไหน
บนสนามใหญ่ของการทูตโลก ชื่อของไทยและกัมพูชากำลังถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ของ “ศึกทุ่นระเบิดชายแดน” แต่ในมุมของ บ้านกีฬา เราไม่อยากเห็นหน้าประวัติศาสตร์หน้านี้ถูกเขียนด้วยเลือดของทหารและชาวบ้านอีกต่อไป
แฟนข่าวที่อยากตามทุกจังหวะความเคลื่อนไหวของประเด็นร้อนรอบบ้านเรา
อย่าลืมติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา ทุกวัน ไม่ให้พลาดทุกมุมสำคัญของภูมิภาคนี้

