คดีการเสียชีวิตของ “นัทปง” ทำไมทั้งประเทศต้องจับตา
คดีการเสียชีวิตของ ณัฐวุฒิ ปงลังกา หรือที่คนในวงการข่าวรู้จักกันในชื่อ “นัทปง” นักข่าวช่อง 8 ไม่ได้เป็นแค่ข่าวอาชญากรรมธรรมดา แต่กลายเป็นเคสใหญ่ที่สังคมไทยทั้งวงการสื่อและประชาชนทั่วไปจับตาอย่างหนัก เพราะผลชันสูตรของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าพบ “สารไซยาไนด์” ในเลือดและในกระเพาะอาหารในระดับที่เป็นอันตรายถึงชีวิต ไม่ใช่การเสียชีวิตตามธรรมชาติอย่างที่เคยเข้าใจในตอนแรก
ใครคือ “ณัฐวุฒิ ปงลังกา” นักข่าวหนุ่มที่สังคมกำลังถามหาความยุติธรรม
ก่อนจะไปไล่ไทม์ไลน์คืนเกิดเหตุ เราต้องไม่ลืมว่า “นัทปง” ไม่ใช่แค่ชื่อในสำนวนคดี แต่คือมนุษย์คนหนึ่งที่ทุ่มชีวิตให้กับงานข่าว รายงานเหตุจริง เสียงจริง ให้กับผู้ชม เขาเป็นผู้สื่อข่าวภาคสนามของช่อง 8 และเพิ่งคว้ารางวัลระดับประเทศอย่างรางวัลเทพนรสิงห์ (เทพนรายนคราช) ด้านผู้สื่อข่าวภาคสนามดีเด่นในปี 2568 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในรางวัลที่การันตีมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชนไทยในยุคนี้
นัทปงเริ่มจากนักข่าวสายลงพื้นที่ ทำข่าวหนัก ข่าวสังคม ข่าวอาชญากรรม ใช้เวลาอยู่หน้าเหตุจริงมากกว่าหน้าจอคอมฯ อาชีพแบบนี้เต็มไปด้วยความกดดัน ทั้งเวลาทำข่าวต่อเนื่อง ทั้งภาพหนักๆ ที่ต้องเห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เขาก็ยังเดินหน้าทำหน้าที่ จนกลายเป็นหนึ่งในชื่อที่คนดูข่าวจำหน้าและน้ำเสียงได้
นี่คือเหตุผลว่าทำไม “การเสียชีวิตปริศนาของนักข่าว” จึงกลายเป็นประเด็นใหญ่ เพราะเมื่อคนที่ทำอาชีพเปิดโปงความจริงในสังคม กลับต้องมาตายแบบมีคำถามเอง สังคมย่อมต้องการคำตอบที่โปร่งใสที่สุด
กล้องวงจรปิดในบ้าน “นัทปง” คืนเกิดเหตุ – ภาพที่เล่าเรื่องแทนทุกคน
คืนเกิดเหตุที่บ้านย่านบางกรวย จ.นนทบุรี มีคนอยู่ในบ้านทั้งหมด 5 คน ได้แก่ นัทปง, เพื่อนร่วมงานหญิง 2 คน “โอ” และ “ออ” พร้อมเพื่อนสนิทอีก 2 คนคือ “บิ๊ก” และ “ต้น” ทั้งหมดนั่งดื่ม–กิน–คุยกันในบ้านหลังจัดรายการข่าวเสร็จ ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงด้วยการพบร่างนักข่าวหนุ่มในห้องคาราโอเกะชั้นล่างของบ้านในเช้าวันรุ่งขึ้น
รายการ “พุทธทอล์ค” ที่ดำเนินรายการโดย พุทธ อภิวรรณ หัวหน้าข่าวและคนใกล้ชิดของนัทปง ได้นำคลิปจากกล้องวงจรปิดภายในบ้านมาเปิดให้สังคมเห็นลำดับเหตุการณ์อย่างละเอียด ทั้งช่วงเวลาที่ทุกคนนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน การแยกย้ายกันขึ้น–ลงชั้นบน–ล่าง ไปจนถึงช่วงเวลาสำคัญก่อนที่นัทปงจะหายไปจากเฟรมกล้องชั้นบน แล้วไปปรากฏครั้งสุดท้ายในห้องคาราโอเกะ ซึ่งต่อมากลายเป็นจุดพบร่างของเขา
จุดสำคัญคือ หลังจาก “โอ” และ “ออ” ออกจากบ้านไป เหลือเพียง “นัทปง–บิ๊ก–ต้น” ในเวลาช่วงเช้ามืด กล้องวงจรปิดบันทึกให้เห็นพฤติกรรมของแต่ละคนอย่างชัดเจน ใครเดินไปไหน หยิบอะไร ทำอะไรบ้าง ทุกการเคลื่อนไหวกลายเป็น “พยานเงียบ” ที่ไม่มีอารมณ์ ไม่มีความเห็น แต่บันทึกข้อเท็จจริงไว้ทุกวินาที
ไทม์ไลน์ความเคลื่อนไหวก่อนพบร่างในห้องคาราโอเกะ
จากข้อมูลที่ถูกเปิดในรายการข่าวและรายงานของหลายสำนัก สามารถเรียบเรียงไทม์ไลน์คร่าวๆ ได้ดังนี้ (เวลาโดยประมาณตามภาพกล้องวงจรปิด)
- ประมาณ 05.03 น. – ทุกคนยังอยู่ที่โต๊ะกินข้าวชั้นล่าง ทั้ง 5 คนพูดคุย–กินดื่มตามปกติ ก่อนที่นัทปงจะเดินขึ้นไปชั้น 2 แล้วเข้าไปในห้องนอน
- ประมาณ 05.36–05.46 น. – “โอ” และ “ออ” ทยอยออกจากบ้าน เหลือเพียง “บิ๊ก” กับ “ต้น” อยู่ชั้นล่าง ขณะที่นัทปงอยู่ชั้นบน
- ช่วงก่อน 06.00 น. – กล้องจับภาพ “บิ๊ก” เดินไป–มาในชั้น 1 ถือโทรศัพท์ 2 เครื่อง (หนึ่งในนั้นเป็นของนัทปง) จากนั้นขึ้นไปชั้น 2 เข้า–ออกห้องนอน สลับกับพูดคุยกับ “ต้น” ด้านล่าง
- ประมาณ 06.16 น. – นัทปงเดินออกจากห้องนอนเพื่อไปเข้าห้องน้ำ “บิ๊ก” ตามไปดู ก่อนจะกลับเข้าห้องนอน
- ประมาณ 06.18 น. – นัทปงเดินลงจากชั้น 2 ไปชั้นล่างคนเดียว มุ่งหน้าเข้าสู่ห้องคาราโอเกะ และไม่กลับขึ้นไปชั้นบนอีก
- ประมาณ 06.22–06.24 น. – “บิ๊ก” ลงมาจากชั้น 2 มองหานัทปง พูดคุยกับ “ต้น” ว่ากังวล–นอนไม่หลับ จากนั้นเดินไปที่หน้าห้องคาราโอเกะ มีเสียงพูดจาในเชิงกดดันและประชดว่า “ถ้ายังไม่ตายก็ขึ้นไปนอน” พร้อมตำหนิเพื่อนเรื่องการหนีปัญหา ก่อนจะกลับขึ้นไปชั้นบนอีกครั้ง
- ประมาณ 07.30 น. – “ต้น” กลับเข้ามาที่บ้านอีกครั้งเพื่อเอากระเป๋าสตางค์ แวะชะโงกหน้าดูภายในห้องที่นัทปงนอนอยู่ แล้วออกไป
- ประมาณ 08.40 น. – “บิ๊ก” ลงมาจากชั้น 2 เข้าไปที่ห้องคาราโอเกะ และเป็นจังหวะที่พบว่านัทปงไม่ตอบสนอง จึงรีบโทรเรียก “ต้น” และโทร 1669 แจ้งเหตุด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
ไทม์ไลน์เหล่านี้กลายเป็น “จิ๊กซอว์สำคัญ” ที่ตำรวจและสังคมใช้ประกอบการวิเคราะห์ว่า เกิดอะไรขึ้นในบ้านหลังนั้นจริงๆ ใครรู้อะไร–ใครเห็นอะไร–ใครมีโอกาสทำอะไรบ้าง
เพื่อน 5 คนในบ้าน – จากวงสังสรรค์กลายเป็นพยานคดีใหญ่
หลังคดีถูกยกระดับเป็นการเสียชีวิตผิดธรรมชาติ ตำรวจ สภ.บางกรวย และชุดสืบสวนภาค 1 ได้เรียกคนที่อยู่ในวงสังสรรค์ทั้ง 5 คนมาให้ปากคำอย่างละเอียด ไล่ตั้งแต่ “บิ๊ก–ต้น–โอ–ออ–ไอซ์” เพื่อประกอบสำนวน แยกประเด็นให้ชัดว่าใครอยู่ตรงไหน เวลาไหน ใครรู้เรื่อง “สารไซยาไนด์” ก่อน–หลังอย่างไร
รายงานข่าวระบุว่า ในช่วงเช้าวันที่ 7 ธ.ค. 68 “บิ๊ก” เดินทางมาพบพนักงานสอบสวนเป็นคนแรก สีหน้าตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด ตามมาด้วย “โอ” และ “ออ” ที่มาให้ปากคำในฐานะเพื่อนร่วมงานของผู้ตายที่อยู่ในบ้านคืนเกิดเหตุ ส่วน “ต้น” และ “ไอซ์” ถูกคาดหมายว่าจะเข้าพบตำรวจในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน เพื่อให้ปากคำในฐานะผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุเช่นกัน
ทุกคนยังถือเป็น “ผู้ให้ข้อมูล–พยาน” ไม่ใช่ “ผู้กระทำผิด” ตราบใดที่ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา นี่คือหลักสำคัญของกระบวนการยุติธรรมที่สังคมต้องไม่ลืม เรามีสิทธิ์สงสัย แต่ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใครแทนศาล

ตำรวจ–นิติวิทยาศาสตร์ เร่งไล่ที่มาของ “ไซยาไนด์” และหลักฐานอื่นๆ
ฝั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะตำรวจภูธรภาค 1 ยืนยันชัดว่า คดีนี้ “ไม่ซับซ้อนเกินไป” แต่ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า สารไซยาไนด์เข้าสู่ร่างกายนัทปงได้อย่างไร – เขาเป็นคนหยิบเอง หรือมีใครเป็นผู้ทำให้เกิดผลถึงชีวิต พร้อมเตรียมลงพื้นที่ตรวจบ้านเกิดเหตุซ้ำ เพื่อหาแหล่งที่มาของสารพิษดังกล่าว ตรวจสอบกล้องวงจรปิดทุกมุม และตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของผู้ตายอย่างละเอียด
นอกจากนี้ ยังมีการส่งร่างของนัทปงให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตรวจซ้ำเพื่อยืนยันผลละเอียดอีกชั้น และเก็บหลักฐานทุกอย่างตั้งแต่ภาชนะต้องสงสัย เศษสิ่งปนเปื้อน ไปจนถึงแชต–การสนทนาที่อาจเกี่ยวข้องกับการพูดถึง “ไซยาไนด์” ย้อนหลังหลายสัปดาห์
ไซยาไนด์: สารเคมีที่อันตรายเกินกว่าจะเล่นกับชีวิต
ในอีกมุมหนึ่ง การที่คดีนี้โยงกับ สารไซยาไนด์ ทำให้คนจำนวนมากเริ่มพูดถึงความอันตรายของสารนี้กันมากขึ้น เพราะไซยาไนด์เป็นสารเคมีที่มีพิษรุนแรง ใช้ในงานอุตสาหกรรมบางประเภท แต่ในชีวิตประจำวัน “ไม่มีเหตุผลใดๆ” ที่คนทั่วไปควรมีไว้ครอบครองหรือสัมผัสใกล้ชิด การนำสารนี้มาอยู่ในบ้าน–ในพื้นที่ส่วนตัว โดยไม่มีเหตุผลทางวิชาชีพหรือกฎหมายรองรับ เป็นเรื่องที่ต้องตั้งคำถามอย่างยิ่ง
สำหรับประชาชน การเห็นข่าวลักษณะนี้ควรตระหนักชัดว่า สารพิษรุนแรงไม่ใช่ของเล่น ไม่ใช่ของสะสม และไม่ใช่เครื่องมือแก้ปัญหาชีวิต การครอบครองโดยไม่จำเป็นเสี่ยงทั้งต่อกฎหมายและต่อชีวิตของตัวเองและคนรอบข้าง
มุม “บ้านกีฬา”: คดีนี้ไม่ใช่แค่ดราม่า แต่คือบทเรียนใหญ่ของสังคม
แม้ บ้านกีฬา จะเป็นสื่อสายกีฬา แต่ในฐานะคนทำงานข่าวเหมือนกัน เรามองคดี “นัทปง” เป็นจุดสะเทือนทั้งวงการ ไม่ต่างจากวันที่นักกีฬาใหญ่ล้มลงกลางสนามต่อหน้าคนทั้งโลก
สิ่งที่สังคมเห็นจากคดีนี้ มีหลายชั้นมากกว่าคลิปไวรัลหรือดราม่าในคอมเมนต์
- เราเห็น “ความเปราะบางของคนทำงานข่าว” ที่ต้องแบกทั้งแรงกดดันจากงานและจากสังคม
- เราเห็น “พลังของกล้องวงจรปิด” ที่กลายเป็นพยานสำคัญมากกว่าคำบอกเล่าของใครคนใดคนหนึ่ง
- เราเห็น “บทบาทของนิติวิทยาศาสตร์” ที่ช่วยเปลี่ยนคดีจากการเข้าใจว่าเสียชีวิตธรรมดา ไปสู่การพิสูจน์ว่าเป็นการเสียชีวิตผิดธรรมชาติ
- และเรายังเห็น “ด้านมืดของสังคมออนไลน์” ที่บางครั้งตัดสินคนจากคลิปไม่กี่วินาที โดยไม่รอข้อเท็จจริงครบทุกด้าน
ทั้งหมดนี้คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิด แต่ขณะเดียวกันก็ต้องระวังไม่ให้ตัวเองกลายเป็น “ศาลโซเชียล” ที่ตัดสินใครต่อใครล่วงหน้า
ข้อคิดสำหรับคนเสพข่าวในยุคโซเชียลแรงกว่าข้อเท็จจริง
เมื่อคดีใหญ่แบบนี้เกิดขึ้น สิ่งที่ตามมาคือดราม่าในโลกออนไลน์ คลิปตัดต่อ สถานะเชิงคาดเดา และการแชร์ข้อมูลที่ยังไม่ผ่านการกลั่นกรอง
บ้านกีฬาอยากชวนทุกคนตั้งหลักง่ายๆ 4 ข้อเวลาเสพข่าวคดีอ่อนไหวแบบนี้
- แยก “ข้อเท็จจริง” ออกจาก “ความเห็น” – ข้อเท็จจริงมาจากหลักฐานและคำยืนยันจากหน่วยงานทางการ ส่วนความเห็นคือการตีความของแต่ละคน
- เช็กแหล่งข่าว – พยายามอิงข้อมูลจากสื่อกระแสหลักที่มีมาตรฐาน ตรวจสอบได้ ไม่ใช่เพียงคลิปตัดสั้นหรือโพสต์นิรนาม
- ระวังการพาดพิงบุคคล – การกล่าวหาใครโดยไม่มีหลักฐาน อาจเข้าข่ายหมิ่นประมาท และสร้างบาดแผลซ้ำให้ครอบครัวผู้เสียชีวิต
- เคารพผู้ล่วงลับและครอบครัว – ทุกข้อความที่เราโพสต์ มีโอกาสไปถึงคนที่กำลังอยู่ในช่วงโศกเศร้าเสมอ
นี่คือ “มาตรฐานแฟนข่าวที่รับผิดชอบ” ไม่ต่างจากเวลาที่แฟนบอลดูเกมแล้ววิจารณ์นักเตะอย่างมีเหตุผล ไม่ใช่รุมด่าตามกระแสอย่างเดียว
สถานะคดีตอนนี้: รอคำตอบจากกระบวนการยุติธรรม
ณ เวลานี้ คดีการเสียชีวิตของนัทปงยังอยู่ในขั้นตอนการสืบสวนสอบสวน ตำรวจเตรียมลงพื้นที่ตรวจบ้านเกิดเหตุซ้ำ เรียกผู้ที่อยู่ในบ้านคืนเกิดเหตุมาให้ปากคำครบทุกปาก ตรวจสอบหลักฐานจากนิติวิทยาศาสตร์ กล้องวงจรปิด โทรศัพท์ และข้อมูลทางการเงิน–การสื่อสารที่อาจเกี่ยวข้องกับสารไซยาไนด์และความขัดแย้งส่วนตัวต่างๆ
คำถามใหญ่ว่า “สารพิษมาจากไหน ใครนำเข้าไป ใครรู้–ไม่รู้” ยังต้องรอการพิสูจน์จากหลักฐาน ไม่ใช่จากกระแสคอมเมนต์ ขณะเดียวกัน ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน และคนในวงการข่าวยังคงรอคำตอบพร้อมกับทั้งประเทศ
สำหรับบ้านกีฬา เราขอร่วมไว้อาลัยให้กับการจากไปของ ณัฐวุฒิ ปงลังกา นักข่าวที่ทิ้งผลงานข่าวไว้มากมาย และหวังว่าความจริงทั้งหมดจะถูกคลี่คลายอย่างโปร่งใส เพื่อศักดิ์ศรีของผู้ตาย และเพื่อให้สังคมไทยเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น

ปิดท้าย
คดี “นัทปง” ไม่ได้เป็นเพียงคดีหนึ่งในหน้าข่าว แต่เป็นกระจกสะท้อนหลายมิติของสังคมไทย ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน เรื่องการใช้สารพิษรุนแรง การทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ และการเสพสื่อของประชาชน
บ้านกีฬา จะยังจับตาทุกความคืบหน้าแบบไม่กะพริบตา และจะนำเสนอข้อมูลอย่างรอบด้านที่สุดเท่าที่เราจะทำได้
ขอขอบคุณคลิปจาก พุทธ อภิวรรณ
ใครที่อยากตามทุกจังหวะของข่าวร้อน–ประเด็นใหญ่ในสังคมไทย อย่าลืมติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา ได้ทุกวัน

