ดราม่าโบนัสเดือด! ไดกิ้นประกาศปิดงานงดจ้าง ศึกสหภาพแรงงานลุกทั้งนิคม-สะเทือนวงการแรงงานไทย

ดูบอลสด ดูบอลออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง

ศึกโบนัสไดกิ้นลุกลาม จากโต๊ะเจรจาถึงคำสั่ง “ปิดงานงดจ้าง”

เคส “ไดกิ้น ประกาศปิดงานงดจ้าง” กลายเป็นไฟลามทุ่งในโลกออนไลน์และสังคมแรงงานทันที หลังมีประกาศอย่างเป็นทางการจากบริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด แจ้งใช้สิทธิ ปิดงานงดจ้าง กับสหภาพแรงงานไดกิ้นอมตะรักษ์เสรี และสมาชิกสหภาพที่เกี่ยวข้อง มีผลตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2568 เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป

เริ่มต้นจากการเจรจาข้อเรียกร้องระหว่างบริษัทกับสหภาพแรงงาน ซึ่งยืดเยื้อมาหลายเดือน ประเด็นหลักคือเรื่อง โบนัสประจำปีและสวัสดิการ ที่สหภาพแรงงานมองว่าลดลงจากเดิม ขณะที่ผลประกอบการบริษัทเพิ่มขึ้น

ทั้งสองฝ่ายมีการเจรจากันเองก่อน จากนั้นเรื่องถูกยกระดับเป็น ข้อพิพาทแรงงาน เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยโดยพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงาน มีการนัดเจรจาหลายครั้งติดต่อกัน ซึ่งการเจรจาล่าสุดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2568 ถือเป็นครั้งที่ 11 แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้

เมื่อการไกล่เกลี่ยโดยเจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถคลี่คลายข้อพิพาท บริษัทจึงประกาศยุติการเจรจาเวลา 12.00 น. แล้วเดินหน้าประกาศ ปิดงานงดจ้าง กับสมาชิกสหภาพแรงงานอย่างเป็นทางการ กลายเป็นจุดเปลี่ยนจาก “โต๊ะเจรจา” ไปสู่ “มาตรการกดดัน” ที่สะเทือนชีวิตลูกจ้างนับพันคนในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ชลบุรี

ข้อเรียกร้องที่คุยกันไม่ลงตัว: โบนัส–ทองคำ–สวัสดิการระยะยาว

หัวใจของศึกครั้งนี้ไม่ได้มีแค่คำว่า “โบนัส” แต่เป็นเรื่อง โครงสร้างสวัสดิการและความรู้สึกยุติธรรมของแรงงาน ที่สั่งสมมายาวนาน

ฝั่งสหภาพแรงงานไดกิ้นอมตะรักษ์เสรี ชี้แจงว่า ข้อเรียกร้องสำคัญคือ

  • ต้องการให้บริษัทกลับมาใช้สวัสดิการเดิมสำหรับพนักงานอายุงานครบ 10 ปี คือ “ทองคำ 3 บาท + เงินสด 10,000 บาท”
  • ปี 2568 บริษัทปรับเปลี่ยนสวัสดิการ กลายเป็น “เงินสด 40,000 บาท” แทนทองคำ และยังมีการ ลดโบนัสลงจากเดิม
  • ทั้งที่ตัวเลขกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเกือบ 6,000 ล้านบาท ตามข้อมูลที่ฝ่ายแรงงานยกมาอ้างในเวทีสาธารณะ

วัฒนธรรมการให้ “ทอง 3 บาท” กับคนที่ทำงานครบสิบปี ไม่ใช่แค่ของขวัญ แต่เป็น สัญลักษณ์ของความภาคภูมิใจและการยอมรับในความทุ่มเท ของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมไทยจำนวนมาก การที่สวัสดิการส่วนนี้ถูกตัดออก แล้วเปลี่ยนเป็นเงินก้อนเพียงครั้งเดียว ย่อมทำให้คนงานจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่า “คุณค่าจากเหงื่อแรง” ของตัวเองถูกลดทอน

ขณะเดียวกันฝ่ายบริษัทก็มีมุมมองเรื่องภาระต้นทุน ทั้งจากราคาทองคำที่สูงขึ้น และโครงสร้างการบริหารงบโบนัสที่ต้องการควบคุม แต่เมื่อทั้งสองฝ่ายมองต่างมุม และไม่สามารถหาจุดสมดุลร่วมกันได้ ความขัดแย้งจึงปะทุจนต้องยกระดับสู่ข้อพิพาทแรงงานเต็มรูปแบบ

เสียงจากสภา ส.ส.ลงสนาม ปกป้องสิทธิแรงงานไดกิ้น

เมื่อเรื่องลามใหญ่ในโลกออนไลน์ นักการเมืองก็เริ่มขยับ เสียงจากฝั่งสภาผู้แทนฯ เข้ามาเติมน้ำหนักให้ “ศึกโบนัสไดกิ้น” กลายเป็นประเด็นระดับประเทศ

นายเซีย จำปาทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (สัดส่วนเครือข่ายผู้ใช้แรงงาน) โพสต์เฟซบุ๊กเรียกร้องชัดเจนว่า กระทรวงแรงงานต้องเข้ามาเป็น “คนกลาง” ไกล่เกลี่ยโดยด่วน พร้อมย้ำสองประเด็นหลัก

  1. กระทรวงแรงงานต้องทำหน้าที่ตัวกลางประสาน เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายกลับมาเจรจาหาข้อยุติโดยเร็ว
  2. ขอให้นายจ้างและสหภาพกลับมาเปิดใจคุยกันบนพื้นฐานของ “เหตุและผล” และความเป็นธรรมต่อทั้งสองฝ่าย

ขณะเดียวกัน นายชวาล พลเมืองดี ส.ส.ชลบุรี เขต 3 พรรคประชาชน ก็โพสต์ปกป้องการรวมตัวของคนงานโรงงานไดกิ้น ย้ำว่า “การรวมตัวเรียกร้องโบนัส ไม่ใช่เรื่องผิด ไม่ใช่ความวุ่นวาย” แต่เป็นการใช้สิทธิทางกฎหมายของทั้งนายจ้างและลูกจ้าง ที่ควรใช้ โต๊ะเจรจา เป็นเครื่องมือหลักในการหาข้อยุติ

ด้าน นายสหัสวัต คุ้มคง ส.ส.ชลบุรี เขต 7 พรรคเดียวกัน อธิบายเพิ่มเติมเรื่องกระบวนการยื่นข้อเรียกร้องประจำปีของสหภาพแรงงาน ว่าไม่ใช่การ “ขอแบบลอย ๆ” แต่ตั้งอยู่บนข้อมูลผลประกอบการของบริษัท และความพยายามดึง “มูลค่าส่วนเกินจากการผลิต” กลับมาเป็นสวัสดิการในสัดส่วนที่สมเหตุสมผล เพื่อให้ทั้งนายจ้าง–ลูกจ้างเดินหน้าร่วมกันได้โดยไม่รู้สึกถูกเอาเปรียบเกินไป

ทั้งหมดนี้สะท้อนชัดว่า เคสไดกิ้นไม่ได้เป็นเพียงเรื่อง “โบนัสกี่เดือน” แต่เป็นสนามต่อสู้เชิงหลักการเรื่อง สิทธิแรงงาน การเจรจาต่อรอง และสมดุลอำนาจระหว่างทุนกับแรงงาน

เปิดตำราแรงงาน: “ปิดงานงดจ้าง – หยุดกิจการ – นัดหยุดงาน” ต่างกันอย่างไร

หนึ่งในคำถามที่สังคมสงสัยคือ “ปิดงานงดจ้าง” คืออะไร แตกต่างจาก “หยุดกิจการ” หรือ “นัดหยุดงาน” ยังไง?

อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาและอดีตประธาน กสม. อย่าง นายวัส ติงสมิตร อธิบายไว้อย่างชัดเจนในมุมกฎหมายแรงงานไทย ซึ่งสรุปได้เข้าใจง่ายดังนี้

ปิดงาน (Lockout)

  • เป็น สิทธิของนายจ้าง ในการตอบโต้ข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้
  • รูปแบบคือ นายจ้าง “ไม่ยอมให้ลูกจ้างที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทเข้าทำงานชั่วคราว” ตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518
  • ใช้ได้ต่อเมื่อมีข้อพิพาทแรงงานที่ไกล่เกลี่ยแล้วแต่ไม่จบ และนายจ้างแจ้งเป็นหนังสือล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมงต่อพนักงานประนอมและฝ่ายลูกจ้าง
  • ช่วงปิดงาน นายจ้าง ไม่ต้องจ่ายค่าจ้าง ให้ลูกจ้างที่ถูกปิดงาน จึงเกิดคำว่า “ปิดงานงดจ้าง” นั่นเอง

หยุดกิจการชั่วคราว

  • ไม่ใช่มาตรการตอบโต้ข้อพิพาท แต่เกิดจากจำเป็นทางธุรกิจ เช่น เศรษฐกิจตกต่ำ ไฟฟ้าขัดข้อง ขาดวัตถุดิบ หรือปัญหาอื่นที่ทำให้เดินเครื่องไม่ได้ตามปกติ
  • ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน มาตรา 75 นายจ้างต้องจ่ายให้ลูกจ้างอย่างน้อย 75% ของค่าจ้าง ตลอดระยะเวลาที่หยุดกิจการ แต่ยังไม่เลิกจ้าง

นัดหยุดงาน (Strike)

  • เป็น มาตรการของฝ่ายลูกจ้าง คือการรวมตัวกัน “ไม่ทำงานชั่วคราว” เพื่อต่อรองข้อพิพาทแรงงาน
  • ต้องแจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานประนอมและนายจ้างทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมงเช่นกัน จึงจะชอบด้วยกฎหมาย

เมื่อดูจากกรอบกฎหมายทั้งหมด จะเห็นว่า “ปิดงาน” กับ “นัดหยุดงาน” เป็น อาวุธสองด้าน ที่กฎหมายเปิดให้ทั้งนายจ้างและลูกจ้างใช้ได้ภายใต้เงื่อนไขที่เคร่งครัด และกลับมาใช้ได้เต็มรูปแบบอีกครั้งหลังไทยยกเลิกการจำกัดการล็อกเอาต์–นัดหยุดงานที่เคยใช้ช่วงโควิด-19

มุมมองอดีตผู้พิพากษา: สิทธิใช้มาตรการมีได้ แต่ต้องไม่ทำลายสมดุลอำนาจ

ในโพสต์ยาวของนายวัส ยังชี้ให้เห็น “เส้นบาง ๆ” ระหว่างการใช้สิทธิตามกฎหมาย กับการสร้างความไม่สมดุลของอำนาจในโรงงาน

  • การปิดงานงดจ้าง แม้จะเป็นสิทธิตามกฎหมายของนายจ้าง แต่ถ้าใช้เพื่อบีบให้ลูกจ้าง “จำใจ” ยอมรับข้อเสนอฝ่ายเดียว โดยตัดช่องทางโต๊ะเจรจา ก็อาจกลายเป็นเครื่องมือกดทับสหภาพแรงงานและบั่นทอนสิทธิขั้นพื้นฐานในการรวมตัวเจรจาต่อรองตามหลักสากล
  • การปิดงานเฉพาะ “สมาชิกสหภาพแรงงาน” แต่ปล่อยให้คนอื่นยังทำงานต่อ อาจสร้างบรรยากาศแตกแยกในหมู่พนักงานเอง และถูกตั้งคำถามเรื่องการเลือกปฏิบัติ
  • หลักการสำคัญตามแนวคิดแรงงานสัมพันธ์สมัยใหม่และมาตรฐาน ILO คือ การคุ้มครอง สิทธิในการรวมตัวและเจรจาต่อรองร่วม เพื่อให้ทั้งฝ่ายทุนและแรงงานอยู่บนโต๊ะเจรจาที่ใกล้เคียงกันในเชิงอำนาจมากที่สุด

บทสรุปจากมุมมองอดีตผู้พิพากษาคือ ความขัดแย้งลักษณะนี้ “ต้องจบด้วยการกลับไปนั่งโต๊ะเจรจา” และกระทรวงแรงงานรวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องทำหน้าที่อย่างแข็งขันในการประนอมยุติปัญหา ไม่ปล่อยให้ศึกยืดเยื้อจนบานปลาย

ทำไมดราม่าโบนัสไดกิ้นสะเทือนทั้งวงการแรงงานไทย

กรณีนี้ไม่ได้สะเทือนแค่โรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศแห่งหนึ่ง แต่กลายเป็นเคสศึกษาใหญ่ของสังคมไทยในหลายมิติ

  1. วัฒนธรรมโบนัสและทองคำในโรงงานไทย
    หลายโรงงานใช้โบนัส–ทองคำ–ของขวัญครบรอบอายุงานเป็น “เครื่องยึดเหนี่ยวใจ” ให้คนอยู่กับองค์กรระยะยาว การลดหรือเปลี่ยนรูปแบบสวัสดิการโดยที่คนงานรู้สึกไม่ได้มีส่วนร่วมในการออกแบบ มักกลายเป็นชนวนระเบิดอารมณ์ได้ง่าย
  2. ความคาดหวังเมื่อบริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้น
    เมื่อคนงานเห็นตัวเลขกำไรเติบโตปีต่อปี ความรู้สึกพื้นฐานคือ “ควรได้ส่วนแบ่งจากเหงื่อแรงตัวเองกลับมาบ้าง” ถ้ากำไรโตแต่โบนัส–สวัสดิการลดลง ย่อมสร้างความรู้สึกไม่เป็นธรรมได้แม้บริษัทจะมีเหตุผลเรื่องต้นทุนในภาพใหญ่ก็ตาม
  3. บทบาทของสหภาพแรงงานในยุคใหม่
    กรณีไดกิ้นสะท้อนว่าการมี สหภาพแรงงาน ที่กล้านำข้อเรียกร้องขึ้นสู่ระบบ ไม่ใช่เรื่อง “สร้างปัญหา” แต่เป็นธรรมเนียมปกติของสังคมประชาธิปไตยทั่วโลก ที่ใช้กลไกการเจรจาร่วมเพื่อแบ่งปัน “มูลค่าจากการผลิต” อย่างสมเหตุสมผล
  4. ภาพลักษณ์แบรนด์ใหญ่ในสายตาสังคม
    ไดกิ้นในประเทศไทยไม่ใช่ชื่อเล็ก ๆ แต่เป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักด้านเครื่องปรับอากาศ มีโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมเมืองชล และทำกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม การศึกษา และชุมชนท้องถิ่น Daikin แบรนด์ที่ลงทุนกับภาพลักษณ์ “ห่วงใยสังคม” ยิ่งต้องระมัดระวังว่า การจัดการข้อพิพาทแรงงานจะสอดคล้องกับคุณค่าที่ประกาศต่อสาธารณะหรือไม่

ในยุคที่ผู้บริโภคจำนวนมากให้ความสำคัญกับ ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล) เคสแรงงานในโรงงานไม่ได้เป็นแค่เรื่องภายใน แต่สะท้อนถึง “หัวใจขององค์กร” ว่าปฏิบัติกับคนทำงานอย่างเป็นธรรมเพียงใด

บทเรียนสำคัญ: โต๊ะเจรจายังสำคัญกว่ากำแพงโรงงาน

หากมองแบบแฟร์ ๆ ทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างต่างก็มี “ความเสี่ยง” และ “ความกลัว” ของตัวเอง

  • นายจ้างกลัวต้นทุนบานปลาย กำไรหด ความสามารถแข่งขันในตลาดโลกถดถอย
  • ลูกจ้างกลัวค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น สวัสดิการลดลง ชีวิตครอบครัวสั่นคลอนจากรายได้ที่ไม่พอรองรับ

การใช้มาตรการรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการ ปิดงาน หรือ นัดหยุดงาน แม้จะเป็นสิทธิทางกฎหมาย แต่สุดท้ายแล้วทุกฝ่ายก็ต้อง “กลับมาที่โต๊ะเจรจาร่วมกันอยู่ดี”

กรณีไดกิ้นจึงเป็นสัญญาณเตือนสำคัญว่า

  • รัฐ โดยเฉพาะ กระทรวงแรงงาน ต้องทำงานเชิงรุกมากกว่ารอให้ปัญหารุนแรงแล้วค่อยลงพื้นที่
  • นายจ้างต้องมองคนงานไม่ใช่แค่ “ต้นทุนแรงงาน” แต่คือหุ้นส่วนที่ร่วมสร้างกำไร
  • ฝ่ายแรงงานและสหภาพเองก็ต้องสื่อสารข้อเรียกร้องอย่างโปร่งใส เปิดเผย และอิงข้อมูลจริง เพื่อสร้างความเข้าใจจากสังคมวงกว้าง

สุดท้ายแล้ว “โบนัส–ทอง–สวัสดิการ” อาจเป็นแค่ตัวเลขบนกระดาษ แต่ ศักดิ์ศรีของคนทำงาน คือสิ่งที่กำลังถูกต่อรองอยู่บนโต๊ะในทุกข้อพิพาทแรงงานของประเทศนี้

บ้านกีฬา มองไปข้างหน้า

เคสไดกิ้นจะจบแบบไหน ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นท่าทีของบริษัท สหภาพแรงงาน หรือบทบาทของหน่วยงานรัฐและนักการเมือง แต่ที่แน่ ๆ คือมันได้ปลุกให้สังคมไทยหันมาพูดเรื่อง สิทธิแรงงาน ข้อพิพาทแรงงาน และความยุติธรรมในที่ทำงาน กันอย่างจริงจังมากขึ้น

แฟนข่าวที่อยากตามทุกจังหวะของสังคมไทย ทั้งสนามแรงงาน เศรษฐกิจ การเมือง และกีฬา…อย่าลืมติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ได้ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา

ตรวจหวย 24 ชั่วโมง หวยลาว หวยฮานอย

แอดไลน์ @Bankeela รับลิ้งดูบอล ทีเด็ด วิเคราะห์บอลจากทางบ้านกีฬา