ดราม่าระลอกใหม่ของ “ธีร์ Only Monday” จุดเดือดที่ต้นสังกัดต้องขยับ
ไฟดราม่าในวงการเพลงไทยยังไม่ทันมอด ก็ถูกราดน้ำมันซ้ำอีกครั้ง เมื่อกรณีของ ธีร์ Only Monday หรือ ทีปกร คำสุรีย์ ถูกโยงเข้ากับประเด็น ข้อมูลส่วนบุคคล และ คลิปหลุดส่วนตัวของอดีตแฟนสาว จนลุกลามไปไกลกว่าคำว่า “ข่าวฉาวดารา” ทั่วไป เพราะคราวนี้มีทั้งมิติของศักดิ์ศรี ความปลอดภัยทางดิจิทัล และความรับผิดชอบต่อสังคมที่ต้องถูกหยิบมาพูดกันแบบตรงๆ
ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์เดือดบน โซเชียลมีเดีย ต้นสังกัดอย่าง Gene Lab ไม่เลือกทางนิ่งเฉย แต่ตัดสินใจ “ลงดาบจริง” ด้วยมาตรการแรงสุดเท่าที่ค่ายเพลงหนึ่งจะทำได้ คือสั่งพักงานทุกกิจกรรม ยกเลิกงานแสดง ถอดเพลงออกจากทุกแพลตฟอร์ม และปลดจากงานพรีเซ็นเตอร์ทั้งหมด เพื่อส่งสัญญาณชัดๆ ว่า “ศิลปินต้องรับผิดชอบต่อสังคม” ไม่ใช่แค่ต่อยอดขายหรือยอดสตรีม
สำหรับแฟนเพลงของ Only Monday นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องรับมือกับดราม่า เพราะก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน เจ้าตัวก็เคยถูกอดีตแฟนสาวออกมาแฉเรื่องพฤติกรรมนอกใจ–นอกกาย จนแฮชแท็ก #OnlyMonday พุ่งขึ้นเทรนด์ไปแล้วหนึ่งรอบ แต่รอบนี้เดิมพันสูงกว่าเดิมหลายระดับ เพราะพาดพิงถึง “เนื้อหาส่วนตัวที่ละเอียดอ่อน” ของผู้หญิงคนหนึ่ง และโยงเข้ากับประเด็นความปลอดภัยด้านดิจิทัลที่สังคมไทยกำลังจับตา

แถลงการณ์ดุจาก Gene Lab: ยุติงาน ถอดเพลง ปลดพรีเซ็นเตอร์ครบชุด
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2568 เพจทางการของ Gene Lab ออกแถลงการณ์กรณี “มีผู้เผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลของนายทีปกร คำสุรีย์ (ธีร์ Only Monday) อันนำมาซึ่งความเสียหายแก่บุคคลภายนอก” โดยใจความสำคัญคือ ค่ายยืนยันหลักการเดิมอย่างแข็งแรงว่า ศิลปินในสังกัดต้องมีวุฒิภาวะและความรับผิดชอบต่อสังคมในทุกมิติ ไม่ใช่แค่บนเวทีหรือในบทเพลง
ในแถลงการณ์ระบุว่า
- ค่ายได้ประสานงานกับทนายความของฝ่ายผู้เสียหายแล้ว
- ทราบว่าฝ่ายผู้เสียหายและตัวศิลปินมีการพูดคุยกันในประเด็นส่วนตัว แต่ทั้งสองฝ่ายไม่ประสงค์ให้ข้อมูลผ่านบุคคลที่สาม
- ในระหว่างที่ยังไม่มีคำชี้แจงอย่างเป็นทางการจากตัวศิลปิน ต้นสังกัดจึงต้องออกมาตรการอย่างเป็นรูปธรรมทันที
มาตรการที่ค่ายประกาศมีทั้งมิติทางศิลปะและธุรกิจ ได้แก่
- ยกเลิกงานแสดงทั้งหมด ที่ศิลปินเคยรับไว้
- ถอดเพลงทั้งหมดออกจากทุกแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อตัดรายได้จากทุกช่องทาง
- ถอดถอนจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์และงานโฆษณาทั้งหมด ที่เกี่ยวข้องกับศิลปิน
Gene Lab ย้ำว่าจะเร่งประสานทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้การดำเนินการเสร็จโดยเร็วที่สุด นี่คือสัญญาณชัดว่าค่ายเพลงยุคใหม่ไม่ได้มองแค่ตัวเลขสตรีม แต่ต้องรักษามาตรฐานด้านจริยธรรมของศิลปินควบคู่กันไป

ย้อนดราม่าเก่า: จากแฮชแท็ก #OnlyMonday ถึงจุดแตกหักรอบใหม่
ก่อนหน้าคลื่นดราม่าระลอกนี้ “ธีร์” เคยตกเป็นประเด็นมาแล้ว จากการที่อดีตแฟนสาวออกมาเล่าประสบการณ์ถูกนอกใจ–นอกกายหลายครั้ง ทำให้ชื่อของเขาถูกพูดถึงอย่างหนักบนโลกออนไลน์ และแฮชแท็กเกี่ยวกับวง Only Monday พุ่งติดเทรนด์ในช่วงเวลานั้น
หลังจากกระแสดังกล่าว นักร้องหนุ่มออกมาขอโทษ ยอมรับผิด และพยายามเดินหน้าทำงานต่อ ท่ามกลางแฟนเพลงบางส่วนที่ยังให้โอกาส แต่บางส่วนเริ่มตั้งคำถามถึง “คุณค่า” ของศิลปินในยุคที่เรื่องส่วนตัวสามารถสะเทือนความน่าเชื่อถือบนเวทีได้
แล้วเมื่อมี “คลิปหลุดของอดีตแฟนสาว” ปรากฏว่อนบนโลกออนไลน์อีกครั้ง สังคมจึงไม่ได้มองเรื่องนี้ว่าเป็นเพียงดราม่าความรัก แต่โยงไปถึงการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล การจัดการไฟล์ส่วนตัว และการเคารพขอบเขตของอีกฝ่าย แม้ในขณะนี้จะยังไม่มีการยืนยันชัดเจนว่าใครเป็นผู้นำคลิปขึ้นเผยแพร่ แต่ชื่อของ “ธีร์” ก็ถูกพุ่งเป้าโดยอัตโนมัติ และกลายเป็นแรงกดดันรอบใหม่ที่รุนแรงกว่าเดิม
เสียงจาก “เฟรม Only Monday”: เหนื่อยเกินกว่าจะรับไหว แต่ยังขอรักษาวง
ท่ามกลางความกดดันที่โหมกระหน่ำไปทั้งวง ไม่ได้มีแค่ตัว “ธีร์” เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ “เฟรม” สมาชิกอีกคนของ Only Monday ก็ออกมาเปิดใจผ่านโซเชียลของตัวเองแบบตรงไปตรงมาว่า เขา, โปรด และทีมงานไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะถือเป็นเรื่องส่วนตัวของเพื่อนร่วมวง แต่ผลกระทบกลับกระแทกทุกคนเต็มๆ
เฟรมเล่าว่า ตลอดเกือบ 5 ปีที่ผ่านมา เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้วงเดินหน้าไปในทิศทางที่ดีที่สุด ทั้งเรื่องงาน เพลง ภาพลักษณ์ และความเป็นมืออาชีพ แต่ทุกครั้งที่มีดราม่า เขาต้องคอย “แก้ปัญหา” ทั้งในมุมทีมงานและความรู้สึกส่วนตัว จนครั้งนี้ยอมรับตรงๆ ว่า “รุนแรงเกินกว่าที่จะรับไหวแล้ว”
ข้อความหนึ่งที่สะเทือนใจแฟนเพลงคือการยอมรับว่า “ความพยายามตลอด 5 ปีเหมือนกำลังพังทลายลง” ไม่ใช่เพราะฝีมือทางดนตรีไม่ดี แต่เพราะการจัดการเรื่องส่วนตัวไม่รัดกุมพอ และทำให้คนรอบตัวต้องรับแรงกระแทกไปด้วย เขาขอโทษทุกคนที่ทำให้ผิดหวัง พร้อมยอมรับว่าพวกเขาอาจ “ไม่ดูแลกันให้มากกว่านี้” อย่างที่ควรเป็น
นี่คือมุมมองที่เตือนให้เราเห็นว่า ดราม่าหนึ่งครั้ง ไม่ได้กระทบแค่เจ้าตัว แต่มันสั่นสะเทือนไปทั้งวง ทีมงาน คนเบื้องหลัง และแฟนเพลงที่ผูกพันกับชื่อ Only Monday มาตลอด

ศิลปินยุคโซเชียล: ชื่อเสียงไม่ใช่เกราะกันดราม่า แต่คือสปอตไลต์ที่ขยายทุกความผิดพลาด
ในยุคที่ทุกอย่างเชื่อมต่อกันด้วยอินเทอร์เน็ต ศิลปินไม่ได้เป็นแค่คนทำเพลงอีกต่อไป แต่กลายเป็น “บุคคลสาธารณะ” ที่ถูกจับตาทุกฝีเท้า ทั้งบนเวทีและในชีวิตส่วนตัว
ดราม่า Only Monday สะท้อนให้เห็นชัดว่า
- การใช้โซเชียลโดยขาดความระมัดระวัง สามารถลุกลามไปสู่การละเมิดสิทธิของผู้อื่นได้ง่าย
- ความสัมพันธ์ที่จบลงไม่สวย หากไม่มีการจัดการข้อมูลส่วนตัวให้รัดกุม อาจกลายเป็นบาดแผลใหญ่ที่ตามหลอกหลอนทั้งสองฝ่าย
- แฟนเพลงยุคใหม่ไม่ได้มองแค่ “เพลงเพราะ” แต่ให้ความสำคัญกับ “คุณค่าคน” เบื้องหลังไมโครโฟน
สำหรับ วงการบันเทิงไทย นี่คือกรณีศึกษาชัดเจนว่า ค่ายเพลง–ศิลปิน–ทีมงาน ต้องมีมาตรฐานร่วมกันในการดูแลเรื่องส่วนตัวไม่ให้ลุกลามเป็นวิกฤตสาธารณะ เมื่อเกิดเรื่องแล้ว การนิ่งเงียบไม่ใช่คำตอบ เพราะช่องว่างของข้อมูลมักถูกเติมเต็มด้วยข่าวลือและการคาดเดา
คลิปหลุด–ข้อมูลส่วนบุคคล: เรื่องใหญ่กว่าแค่ดราม่าในไทม์ไลน์
แม้สังคมออนไลน์จะใช้คำว่า “คลิปหลุด” กันจนชินหู แต่ในทางความเป็นจริง นี่คือหนึ่งในการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลที่รุนแรงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเผยแพร่เองหรือส่งต่อแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง
สิ่งที่ควรถูกย้ำซ้ำๆ คือ
- เนื้อหาส่วนตัวใดๆ ที่เกี่ยวกับร่างกาย ศักดิ์ศรี หรือความสัมพันธ์ส่วนตัว หากถูกเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายตามหลายมาตรา
- ผู้ที่ “แชร์ต่อ” โดยไม่คิด ก็อาจมีส่วนร่วมในความผิด ไม่ต่างจากคนที่ปล่อยครั้งแรก
- ผู้เสียหายมักต้องเผชิญทั้งความอับอาย ความเครียด และผลกระทบยาวนานในชีวิตจริง
กรณีที่เกิดขึ้นกับอดีตแฟนสาวของ “ธีร์” จึงไม่ใช่เรื่องที่ควรจะถูกเม้าท์เล่นในกลุ่มแชต แต่มันคือเหตุการณ์ที่สังคมต้องมองอย่างจริงจัง ทั้งในมิติของกฎหมายและความเป็นมนุษย์ การเคารพ “ขอบเขตและคำว่าไม่ยินยอม” คือจุดเริ่มต้นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันในโลกดิจิทัล
อนาคตของ “ธีร์–Only Monday” ยังไปต่อได้ไหม? แฟนเพลงต้องจับตา
หลังมาตรการแรงจาก Gene Lab คำถามต่อมาคือ “อนาคตของธีร์ในวงการเพลงจะเป็นอย่างไรต่อไป?”
ตอนนี้ยังไม่มีคำชี้แจงอย่างเป็นทางการจากตัวศิลปินเกี่ยวกับรายละเอียดของเหตุการณ์ ในขณะที่งาน เพลง รายได้ และภาพลักษณ์ ล้วนถูกหยุดไว้กลางทางทั้งหมด จนทำให้หลายคนมองว่า นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่สุดในเส้นทางของทั้งตัว “ธีร์” และชื่อวง Only Monday
ในอีกมุมหนึ่ง แฟนเพลงก็ยังรอคำตอบว่า
- ศิลปินจะรับผิดชอบอย่างไรต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
- จะมีการเยียวยาผู้เสียหายแบบไหน
- จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้หรือไม่ หากต้องเริ่มต้นใหม่ในวันที่ภาพลักษณ์สาธารณะเสียหายไปมากขนาดนี้
สำหรับวงการเพลงไทย นี่คือสัญญาณเตือนว่า “ความดัง” ไม่ได้การันตีอนาคต หากเบื้องหลังมีรอยรั่วที่ไม่ถูกปิดให้ดีตั้งแต่ต้น
บทเรียนสำหรับแฟนเพลง–คนดูยุคดิจิทัล: กดแชร์ได้ แต่อย่าลืมกดเบรกตัวเอง
ในฐานะแฟนเพลงและคนเล่นโซเชียล เราเองก็มีส่วนสำคัญในทุกดราม่าที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์
สิ่งที่ทุกคนเรียนรู้ได้จากกรณีนี้คือ
- ก่อนจะแชร์อะไรที่เกี่ยวข้องกับ คลิปหลุด หรือ ข้อมูลส่วนบุคคล ให้ถามตัวเองก่อนว่า “สิ่งนี้ทำร้ายใครหรือเปล่า?”
- การแคป เก็บ แชร์ ในยุคที่ทุกอย่างอยู่บนคลาวด์ ไม่ได้หายไปง่ายๆ และอาจกลายเป็นหลักฐานย้อนกลับมาหาเราเองได้
- ดราม่าบันเทิงที่เราดูเหมือนเป็น “คอนเทนต์” แต่อีกฝั่งคือ “ชีวิตคนจริงๆ” ที่ต้องรับแรงกระแทกแบบเต็มใบ
วงการบันเทิงอาจเปลี่ยนไป ศิลปินอาจเปลี่ยนหน้า แต่มาตรฐานในการเคารพสิทธิของกันและกันไม่ควรเปลี่ยนตามกระแส เพราะนี่คือพื้นฐานขั้นต่ำของการอยู่ร่วมกันในสังคมที่เชื่อมต่อกันตลอด 24 ชั่วโมง

สรุป
ดราม่า “ธีร์ Only Monday – Gene Lab ลงดาบหั่นงาน–ลบเพลงทุกแพลตฟอร์ม” ไม่ใช่แค่พาดหัวแรงๆ ที่ผ่านหน้าฟีดไปวันหนึ่งแล้วจบ แต่มันคือเคสตัวอย่างที่ทำให้ทั้งศิลปิน ค่ายเพลง แฟนคลับ และคนเล่นโซเชียลทุกคน ต้องกลับมาทบทวนว่า
- เราดูแล ข้อมูลส่วนบุคคล ของตัวเองและคนรอบข้างดีพอหรือยัง
- เราใช้โซเชียลด้วยความรับผิดชอบ หรือใช้มันเพื่อปล่อยอารมณ์เพียงอย่างเดียว
- เราเลือกเสพและแชร์ข่าวแบบไหน ระหว่างข่าวที่เคารพศักดิ์ศรีของทุกฝ่าย กับข่าวที่สร้างบาดแผลเพิ่มให้คนที่เจ็บอยู่แล้ว
ดราม่าครั้งนี้อาจเป็นจุดจบของบางโอกาสในชีวิตศิลปิน แต่ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นของมาตรฐานใหม่ในวงการบันเทิงไทย ที่ชัดเจนขึ้นว่า “ชื่อเสียง” ต้องเดินคู่กับ “ความรับผิดชอบ” เสมอ
แฟนกีฬา–แฟนเพลงที่อยากตามทุกจังหวะข่าวเดือด ทั้งในสนามและนอกสนาม อย่าลืมติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา

