ทนายดังโดนพักใบอนุญาต 1 ปี สะเทือนทั้งวงการ ทนายอินฟลูฯ

ดูบอลสด ดูบอลออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง

สภาทนายความ “เป่าซ้า” ใส่วงการ เมื่อทนายดังโดนพักงานหนึ่งปี

วงการกฎหมายเดือดไม่แพ้ขอบสนามฟุตบอล เมื่อมีรายงานว่า สภาทนายความ มีมติลงโทษ พักใบอนุญาตทนายความ 1 ปี ให้กับ ทนายความชื่อดังอักษรย่อ “ด.” ภายหลังถูกอดีตทนายดังอีกรายยื่นเรื่องร้องเรียนว่าผิด มรรยาททนายความ จากกรณีออกทีวีไปกล่าวหาว่าอีกฝ่าย “ตบทรัพย์” อดีตผู้กำกับคดีใหญ่ สร้างแรงสั่นสะเทือนทั้งวงการ และโยงไปสู่คำถามใหญ่เรื่องมาตรฐานวิชาชีพในยุค ทนายอินฟลูเอนเซอร์ ครองสื่อ

คำสั่งนี้มาจากการประชุมของคณะกรรมการสภาทนายความชุดเดิมในยุคของ ดร.วิเชียร ชุบไธสง ที่ก่อนหมดวาระได้ไล่เคลียร์ “คดีมรรยาท” ค้างสต็อกจำนวนมาก โดยกรณีของทนายอักษรย่อ “ด.” ถือเป็น คดีแรก ที่มีคำวินิจฉัยลงโทษชัดเจน แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่ถูกยื่นร้องและรอการพิจารณาอยู่ในระบบ

สำหรับโทษ “พักใบอนุญาต” ตาม พ.ร.บ.ทนายความ พ.ศ. 2528 มาตรา 52 ถือเป็นหนึ่งในสามบทลงโทษใหญ่ของสภาทนายฯ ได้แก่

  • ภาคทัณฑ์
  • ห้ามทำการเป็นทนายความไม่เกิน 3 ปี
  • ลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความโดยสิ้นเชิง

พูดง่าย ๆ คือ โดนพักหนึ่งปี ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แต่ยังไม่ถึงขั้น “หลุดจากเกม” อย่างการถูกลบชื่อถาวร ทว่าชื่อเสียง ความเชื่อมั่น และภาพลักษณ์ในสายตาประชาชนเสียหายไปแล้วเต็ม ๆ

ปฏิบัติการ “กวาดบ้าน” ดับแสง 2 ทนายดัง ลบชื่อ-พักใบอนุญาต

นอกจากทนายอักษรย่อ “ด.” ที่ถูกสั่งพักใบอนุญาตหนึ่งปีแล้ว ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน สภาทนายความ ยังมีคำสั่ง ลบชื่อทนายดังอีกรายออกจากทะเบียน จากกรณีถูกสอบสวนว่าผิดมรรยาทร้ายแรง จนถูกใช้มาตรา 52 (3) ลงดาบสูงสุด

ข้อมูลจากเอกสารชี้แจงของสภาทนายฯ ระบุว่า ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์–ตุลาคม มีคดีมรรยาทถูกหยิบมาพิจารณาจำนวนมาก ระดับ หลายร้อยคดี และมีการลงโทษทั้ง

  • ลบชื่อออกจากทะเบียน
  • ห้ามประกอบวิชาชีพ 2–3 ปี
  • รวมถึงโทษพักใบอนุญาตในกรณีอื่น ๆ

นี่จึงไม่ใช่แค่ “เคสเดี่ยว” ของทนายคนดัง แต่มันคือภาพรวมของการ “กวาดบ้านครั้งใหญ่” เพื่อดึงมาตรฐานวิชาชีพกลับมาเข้าที่ หลังปล่อยให้คดีมรรยาทสะสมและถูกตั้งคำถามจากสังคมมาหลายปี

ทำไมคดีมรรยาททนายความถึงสำคัญ? กติกาที่วางอนาคตทั้งวิชาชีพ

สำหรับคนทั่วไป คำว่า มรรยาททนายความ อาจถูกมองว่าเป็นเรื่องระหว่างทนายกับสภาทนายฯ เท่านั้น แต่ในความเป็นจริง ข้อบังคับฉบับนี้ถูกออกตามอำนาจของสภาทนายความ เพื่อรักษา “หัวใจ” ของวิชาชีพ นั่นคือ ความซื่อสัตย์ สุจริต และการทำงานเพื่อประโยชน์ของลูกความและกระบวนการยุติธรรม

ข้อบังคับ พ.ศ. 2529 กำหนดหลักสำคัญหลายด้าน เช่น

  • ห้ามทนายให้ข้อมูลอันเป็นเท็จหรือบิดเบือนต่อศาล
  • ห้ามเรียกค่าตอบแทนไม่เป็นธรรม หรือจัดการเงินลูกความไม่โปร่งใส
  • ห้ามใช้สื่อหรือชื่อเสียงเพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตนจนกระทบความศักดิ์สิทธิ์ของศาลและระบบยุติธรรม
  • ต้องเคารพสิทธิของลูกความ คู่ความ และผู้เกี่ยวข้องในคดีทุกฝ่าย

เมื่อทนายคนใดฝ่าฝืน ไม่ใช่แค่เรื่อง “เสียมารยาท” แต่สามารถกลายเป็นเหตุให้ถูกลงโทษทางวินัย ตั้งแต่ภาคทัณฑ์ไปจนถึงลบชื่อทิ้งจากทะเบียนได้ทันที

ทนายอินฟลูเอนเซอร์ ยุคโซเชียล: เมื่อยอดไลก์วิ่งแซงกติกา

เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนภาพที่หลายคนจับตาอยู่แล้ว คือการเติบโตของ “ทนายอินฟลูเอนเซอร์” หรือทนายที่ใช้รายการทีวี ยูทูบ และโซเชียลมีเดีย เป็นเวทีหลักในการสื่อสารกับสังคม

ด้านหนึ่ง การมีทนายที่ออกมาพูดภาษาคนธรรมดา อธิบายกฎหมายแบบเข้าใจง่าย ถือเป็นเรื่องดีมากในเชิงการให้ความรู้และปกป้องสิทธิประชาชน แต่ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อความนิยมพุ่งสูงขึ้น ความเสี่ยงก็เพิ่มตามมาทันที ทั้งเรื่อง

  • การให้ความเห็นคดีที่ยังอยู่ในศาลอย่างไม่ระมัดระวัง
  • การใช้ดราม่าหรือคำพูดแรง ๆ เพื่อเรียกยอดวิว
  • การนำลูกความหรือผู้เสียหายไปออกรายการ จนถูกตั้งคำถามว่าปกป้องสิทธิ หรือกำลัง “ใช้เคสเป็นคอนเทนต์” กันแน่

นี่คือจุดที่ทำให้คดีของทนายอักษรย่อ “ด.” ถูกใช้เป็น “ตัวอย่าง” ว่า ชื่อเสียงบนสื่อไม่ใช่ใบอนุญาตให้ข้ามเส้นมรรยาททนายความได้

เปิดมุมมอง “ทนายเชาว์” เรียกร้องเปิดชื่อ ไม่ให้สังคมเดาผิดคน

ในอีกมุมหนึ่ง เสียงจากคนในวงการทนายเองก็เริ่มดังขึ้น โดย ทนายเชาว์ มีขวด ออกมาเรียกร้องผ่านสื่อว่า ในเมื่อสภาทนายฯ มีมติเอกฉันท์ลงโทษแล้ว ก็ควร เปิดเผยชื่อทนายที่ถูกลบชื่อและถูกพักใบอนุญาต ให้ชัดเจน ไม่ใช่ปล่อยให้สังคมต้องเดาไปต่าง ๆ นานา

เหตุผลสำคัญที่เขายกขึ้นมา คือ

  • การไม่เปิดชื่อ ทำให้ประชาชนสับสน และอาจเข้าใจผิดไปถึงทนายคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง
  • การปกปิดข้อมูลมากเกินไป กลับยิ่ง “บั่นทอนความน่าเชื่อถือ” ของวิชาชีพ เพราะดูเหมือนกำลังปกป้องคนในองค์กร มากกว่าปกป้องประชาชน

ประเด็นนี้เชื่อมโยงกับคำถามใหญ่ที่สังคมตั้งไว้คือ

เมื่อทนายคืออาชีพที่ต้องใช้ “ความน่าเชื่อถือ” เป็นทุนหลัก สภาทนายความควรโปร่งใสแค่ไหนในการเปิดเผยผลคำวินิจฉัยทางวินัย?

คำถามนี้ยังไม่มีคำตอบสุดท้าย แต่ชัดเจนแล้วว่า แค่การลงโทษหลังบ้านไม่พออีกต่อไป สิ่งที่ผู้คนอยากเห็น คือระบบตรวจสอบที่ โปร่งใส เท่าเทียม และตรวจสอบได้

กติกาอยู่ฝ่ายไหน? มาตรา 52 และขั้นตอนคดีมรรยาทที่ประชาชนควรรู้

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ลองมาดู กรอบกฎหมาย ที่ใช้ในคดีลักษณะนี้

  • พ.ร.บ.ทนายความ พ.ศ. 2528 มาตรา 52
    ระบุโทษเมื่อทนายประพฤติผิดมรรยาทหรือฝ่าฝืนข้อบังคับของสภาทนายความ แบ่งเป็น 3 ขั้น คือ
    1. ภาคทัณฑ์
    2. ห้ามทำการเป็นทนายความไม่เกิน 3 ปี (พักใบอนุญาต)
    3. ลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความ
  • ข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529
    เป็นกติกาเชิงรายละเอียดที่อธิบายว่า พฤติการณ์แบบไหนเข้าข่ายผิดมรรยาท เช่น การละเว้นไม่ทำในสิ่งที่ควรทำเพื่อประโยชน์ลูกความ การให้ข้อมูลบิดเบือน การจัดการเงินลูกความผิดหลัก หรือการใช้สื่อในลักษณะที่กระทบต่อศาลและวิชาชีพ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สภาทนายฯ เคยออกแถลงข่าวอธิบายขั้นตอนคดีมรรยาทอย่างเป็นทางการ พร้อมโชว์ตัวเลขว่า มีการลบชื่อทนายออกจากทะเบียนหลายสิบราย และลงโทษห้ามประกอบวิชาชีพอีกจำนวนมาก เพื่อยืนยันว่าสภาไม่ได้ “นิ่งเฉย” ต่อปัญหาทนายผิดมรรยาท เพียงแต่อาจมีข้อจำกัดเรื่องการเปิดเผยชื่อและรายละเอียดต่อสาธารณะ

สำหรับประชาชน ข้อมูลพวกนี้สำคัญมาก เพราะช่วยให้

  • เลือกทนายได้อย่างระมัดระวัง
  • กล้าร้องเรียนเมื่อพบพฤติการณ์ไม่ชอบมาพากล
  • มองเห็นว่าระบบมีกลไกตรวจสอบจริง ไม่ใช่ปล่อยให้ทุกอย่างจบหลังฉาก

เลือกทนายให้ไม่เจ็บซ้ำ: เช็กลิสต์ง่าย ๆ สำหรับคนทั่วไป

ในยุคที่ข่าว “ทนายดังถูกลบชื่อ–พักใบอนุญาต” ทยอยออกมาแทบทุกปี การเลือกทนายดี ๆ สักคนจึงไม่ต่างจากการเลือกหมอผ่าตัดหัวใจ นี่คือเช็กลิสต์พื้นฐานที่ช่วยลดความเสี่ยงได้จริง

  1. เช็คสถานะทนายความ
    ก่อนเซ็นเอกสารหรือโอนเงิน ควรตรวจสอบผ่านช่องทางของ สภาทนายความ ว่าบุคคลนั้นมีชื่อในทะเบียนจริงหรือไม่ เคยถูกลบชื่อหรือถูกพักใบอนุญาตหรือเปล่า (ประชาชนสามารถติดต่อสอบถามได้โดยตรง)
  2. สัญญาว่าจ้างต้องชัดเจน
    รายละเอียดคดี ค่าตอบแทน เงื่อนไขการคืนเงิน หรือการเลิกสัญญา ควรถูกเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร โดยเฉพาะคดีที่มีมูลค่าความเสียหายสูง
  3. ระวังการการันตีผลคดี
    ทนายที่พูดว่า “ชนะ 100% แน่นอน” หรือโยงคดีไปอ้างความสนิทกับคนในระบบยุติธรรม นั่นคือสัญญาณเตือนว่าควรหนีให้ไกล เพราะตามหลักแล้ว ไม่มีใครการันตีคำพิพากษาศาลได้
  4. อย่าให้การออกสื่อสำคัญกว่าคดีจริง
    หากทนายสนใจการออกทีวี ไลฟ์สด หรือสัมภาษณ์มากกว่าการทำเอกสาร ทำคำให้การ หรือเตรียมพยาน ให้ตั้งคำถามทันทีว่าคุณกำลังได้ “ทนายความ” หรือ “คนทำคอนเทนต์” กันแน่
  5. หากสงสัยว่าถูกเอาเปรียบ ให้เก็บหลักฐานและร้องสภาทนายฯ ได้
    ทั้งใบเสร็จ สัญญา แชต ควรถูกเก็บไว้ให้ครบ เมื่อมีหลักฐานชัดเจน การร้องมรรยาทจะมีน้ำหนักและช่วยป้องกันไม่ให้คนอื่นตกเป็นเหยื่อซ้ำ

เกมยาวของความเชื่อมั่น: วิชาชีพทนายจะยืนอย่างไรในสายตาสังคม?

ท้ายที่สุด คำถามสำคัญไม่ใช่แค่ “ทนายคนไหนโดนพักหรือโดนลบชื่อ?” แต่คือภาพรวมว่า

ระบบของ สภาทนายความ จะทำให้คนรู้สึกมั่นใจได้แค่ไหนว่า ใครทำผิดจริงก็ถูกลงโทษเท่าเทียมกัน ไม่ว่าดังแค่ไหนหรือมีคนติดตามมากเท่าไร

การลงดาบครั้งนี้ต่อทั้ง “ทนายดังที่ถูกลบชื่อ” และ “ทนายอักษรย่อ ด. ที่ถูกพักใบอนุญาตหนึ่งปี” คือสัญญาณว่ากติกายังทำงานอยู่ แต่ในสายตาประชาชน เกมนี้เป็นเกมยาวที่ต้องพิสูจน์ต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่กระแสชั่วคราว

สำหรับคนธรรมดาที่กำลังหาทนาย หรือกำลังต่อสู้คดีในศาล สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่จำนวนผู้ติดตามของทนาย แต่คือ ความซื่อสัตย์ ความเป็นมืออาชีพ และความกล้ายืนข้างความจริง

และสำหรับทนายดังยุคโซเชียล ไม่ว่าจะเป็นสายสิทธิมนุษยชนแบบ ทนายรณรงค์ หรือสายคอนเทนต์กฎหมายที่มียอดวิวหลายแสน ทุกคนต่างถูกจับจ้องจากสังคมว่าจะ บาลานซ์ระหว่างการเป็น “เสียงของประชาชน” กับการรักษา “มรรยาททนายความ” ได้ดีแค่ไหน

เพราะสุดท้ายแล้ว อาชีพทนายจะยืนได้ ก็เพราะ ความไว้วางใจ ไม่ใช่แค่เสียงปรบมือบนหน้าจอ

ติดตาม ข่าวเด่น และ ข่าววันนี้ เรื่องสิทธิประชาชน กระบวนการยุติธรรม และประเด็นร้อนในวงการทนายความ ได้ทุกวันที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา

ตรวจหวย 24 ชั่วโมง หวยลาว หวยฮานอย

แอดไลน์ @Bankeela รับลิ้งดูบอล ทีเด็ด วิเคราะห์บอลจากทางบ้านกีฬา