ทุกครั้งที่น้ำหลากเข้าบ้าน ไม่ได้พัดไปแค่ข้าวของ แต่พัดเอา “ความมั่นคง” ของทั้งครอบครัวและธุรกิจไปด้วย ทั้งบ้าน รถ ของใช้ เครื่องจักร ตลอดจนรายได้ที่หายวับไปในพริบตา ดังนั้นคำว่า “เงินเยียวยาน้ำท่วม” จึงไม่ใช่คำสวย ๆ ในแถลงข่าว แต่คือเรื่องจริงที่กระทบปากท้องคนทั้งเมือง
น้ำท่วมภาคใต้ รอบนี้ในพื้นที่ ภาคใต้ โดยเฉพาะ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา รัฐบาล–ธนาคารของรัฐ–หน่วยงานด้านอุตสาหกรรม เดินเกมออกมาตรการมาหลายชุด ตั้งแต่พักหนี้บ้าน พักหนี้ SME ลดดอกเบี้ย ปล่อยสินเชื่อฉุกเฉิน ไปจนถึงเงินเยียวยาเป็นก้อน และสิทธิทางกฎหมายที่ผู้ประสบภัย “มีสิทธิเรียกร้องได้” ถ้าหน่วยงานรัฐละเลยหน้าที่
บ้านกีฬาเลยขอรวบทุกมุมมองของคำว่า เงินเยียวยาน้ำท่วม มาเล่าให้ครบ เปลี่ยนข่าวที่ดูไกลตัว ให้กลายเป็น “คู่มือเอาตัวรอด” ที่ใช้ได้จริงทุกครั้งที่เจออุทกภัย
ธอส. ออก 7 มาตรการพักหนี้–ลดดอก–ซ่อมบ้าน ช่วยผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้
หนึ่งในตัวจริงของคนมีบ้านคือ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ที่ออกมาตรการช่วยผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ภายใต้ “มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ปี 2568” ครอบคลุมตั้งแต่ลูกค้าปกติ ลูกค้าใหม่ ไปจนถึงลูกหนี้ NPL ที่บ้านเสียหาย
ภาพรวมคือ ธอส. ช่วยทั้ง
- พักชำระหนี้
- ลดเงินงวด
- ลดดอกเบี้ย
- กู้ซ่อมบ้านเพิ่ม
- เคลมสินไหมประกันภัยแบบเร่งด่วน
ใครที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ ติดต่อยื่นความประสงค์ได้ที่ ทุกสาขาของ ธอส. ทั่วประเทศ

เจาะลึก 7 มาตรการ ธอส. ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม
1) ลูกค้าปัจจุบัน – พักหนี้ 3 เดือน ดอกเบี้ย 0% พร้อมลดเงินงวด 50%
- พักชำระหนี้ได้นาน 3 เดือนแรก ดอกเบี้ย 0% ต่อปี
- เดือนที่ 4–12 คิดดอกเบี้ยเพียง 2.00% ต่อปี
- สามารถลดเงินงวดลงได้ 50% จากเดิม
- ครบ 1 ปีแล้ว กลับไปใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม
เพิ่มเติม:
ลูกค้าที่ต้องการ กู้ซ่อมแซมหรือแต่งบ้าน สามารถใช้
- สินเชื่อ “ซ่อม–แต่ง” และ “ซ่อม–แต่ง Plus”
- วงเงินสูงสุด 300,000 บาทต่อราย ผ่อนสูงสุด 5 ปี
- 100,000 บาทแรก ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แค่ 1% ต่อปี
- 200,000 บาทถัดมา ดอกเบี้ย 1.99% ต่อปี
- ไม่ต้องจดจำนองเพิ่มที่สำนักงานที่ดิน ช่วยลดต้นทุนเอกสารและค่าธรรมเนียม
2) ลูกค้าปัจจุบัน–ลูกค้าใหม่ กู้เพิ่มสร้าง–ซ่อมบ้าน วงเงินสูงสุด 2 ล้านบาท
เหมาะกับคนที่บ้านเสียหายหนัก ต้องสร้างใหม่หรือซ่อมใหญ่
- วงเงินสูงสุด 2 ล้านบาทต่อรายต่อหลักประกัน
- เดือนที่ 1–3
- ดอกเบี้ย 0% ต่อปี
- ปลอดชำระเงินงวด
- เดือนที่ 4–24
- ดอกเบี้ยเพียง 2.00% ต่อปี
- ปีที่ 3
- ดอกเบี้ย MRR–3.30% (ประมาณ 2.945% ต่อปี)
- ปีที่ 4
- ดอกเบี้ย MRR–2.40% (ประมาณ 3.845% ต่อปี)
- ปีที่ 5 เป็นต้นไป
- ลูกค้ารายย่อย: ดอกเบี้ย MRR–0.50%
- ลูกค้าสวัสดิการ: ดอกเบี้ย MRR–1.00%
- กู้ซื้ออุปกรณ์–สิ่งอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย: ดอกเบี้ย MRR
- (ปัจจุบันอัตรา MRR ธอส. อยู่ที่ 6.245% ต่อปี)
ระยะเวลาผ่อนสูงสุด 40 ปี กู้ 1 ล้านบาท ผ่อนเริ่มต้นประมาณ 3,100 บาทต่อเดือน
ฟรี:
- ค่าประเมินราคาหลักประกัน (ประมาณ 1,900–2,800 บาท)
- ค่าธรรมเนียมจดจำนองไม่เกิน 1% ของวงเงินจำนอง
3) ลูกหนี้ NPL ที่บ้านเสียหาย – ดอก 0% 6 เดือนแรก
กลุ่มนี้คือคนที่เป็นหนี้เสีย (NPL) อยู่แล้ว แล้วยังมาเจอภัยน้ำท่วมซ้ำอีก ธอส. มีทางออกให้
- ประนอมหนี้นาน ไม่เกิน 1 ปี 6 เดือน (18 เดือน)
- 6 เดือนแรก
- ดอกเบี้ย 0% ต่อปี และไม่ต้องจ่ายเงินงวด
- เดือนที่ 7–18
- ดอกเบี้ย 1.00% ต่อปี
- ผ่อนชำระไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยรายเดือน
ครบระยะเวลาแล้วกลับไปใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม ตามสิทธิที่มีอยู่ก่อนใช้มาตรการ
4) ลูกหนี้ NPL ที่รายได้หาย – ผ่อนแค่เดือนละ 1,000 บาทช่วงแรก
สำหรับคนเป็น NPL เพราะรายได้หาย รายได้ลด ร้านค้าปิด น้ำท่วมแล้วทำมาหากินไม่ได้
- ประนอมหนี้นาน ไม่เกิน 1 ปี
- 6 เดือนแรก
- ดอกเบี้ย 0% ต่อปี
- ผ่อนชำระเพียง 1,000 บาทต่อเดือน (ตัดเข้าเงินต้นทั้งหมด)
- เดือนที่ 7–12
- ดอกเบี้ย 1.00% ต่อปี
- ผ่อนอย่างน้อยเท่าดอกเบี้ย + เพิ่มอีก 100 บาท
ครบกำหนดประนอมหนี้ กลับไปใช้อัตราดอกเบี้ยตามสิทธิเดิม
5) ลูกค้าปกติ–NPL ที่เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร
กรณีหนักสุดของครอบครัว ธอส. พิจารณาช่วยแบบพิเศษ
- คิดดอกเบี้ยเพียง 0.01% ต่อปี
- ให้ผ่อนชำระในอัตราพิเศษนี้ตลอดระยะเวลาคงเหลือ
- พิจารณาเป็นรายกรณี เน้นช่วยครอบครัวให้พอหายใจต่อได้
6) บ้านพังทั้งหลัง – ปลดหนี้ส่วนตัวบ้าน เหลือผ่อนแต่ที่ดิน
ถ้าบ้านเสียหายทั้งหลังและไม่สามารถซ่อมได้ ธอส. สามารถ
- ปลดหนี้ส่วนของตัวอาคาร
- ให้ผ่อนต่อเฉพาะ ส่วนของที่ดิน ที่ยังเหลืออยู่
- เป็นมาตรการที่ช่วยลดภาระก้อนใหญ่ของครอบครัวที่เสียหายหนัก
พิจารณาเป็นรายกรณีตามสภาพจริงของความเสียหาย
7) เคลมสินไหมเร่งด่วน (Fast Track) – จ่ายตามรูปถ่าย
สำหรับลูกค้าที่ทำกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัย ที่รวมความคุ้มครองภัยธรรมชาติไว้
- เคลมได้แบบ เร่งด่วนเป็นพิเศษ
- ใช้รูปถ่ายความเสียหายประกอบการแจ้งเคลม
- จ่ายตามความเสียหายจริง ไม่เกิน 20,000 บาท
- ถ้ามีกรมธรรม์ที่เริ่มคุ้มครองตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นมา
- เพิ่มความคุ้มครองภัยธรรมชาติอีก ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี
ปลายทาง: ธอส. ไม่ได้ช่วยแค่เรื่องตัวเลข แต่ยังลงพื้นที่ร่วมกับกรมธนารักษ์และกองทัพอากาศ แจกถุงยังชีพ–อาหารพร้อมทานให้ผู้ประสบภัยใน อ.หาดใหญ่ และพื้นที่ภาคใต้
ช่องทางติดต่อ:
- สาขา ธอส. ทุกแห่ง
- G H Bank Call Center โทร. 0-2645-9000
- Facebook Fanpage: ธนาคารอาคารสงเคราะห์
- เว็บไซต์ และโซเชียลมีเดียของ G H Bank
เงินเยียวยาน้ำท่วมจากรัฐ ครัวเรือนละ 9,000 – 29,000 บาท คิดยังไง ใครได้บ้าง
ด้านรัฐบาลเอง มีมาตรการ เงินเยียวยาน้ำท่วม ทั้งแบบจ่ายตรงเป็นเงินสด และช่วยทางอ้อม ผ่านการพักหนี้–ลดภาษี–สนับสนุนดอกเบี้ย
โครงหลัก 3 ระยะ
- การช่วยเหลือระยะสั้น – เงินเยียวยาเร่งด่วน ช่วยตั้งหลัก
- การเยียวยาระยะกลาง – ฟื้นฟูบ้านเรือนและทรัพย์สิน
- การฟื้นฟูระยะยาว – ฟื้นเศรษฐกิจ สร้างโครงสร้างพื้นฐาน ปรับระบบป้องกันน้ำท่วม
ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย (ศป.กฉ.) เป็นหน่วยกลางที่ออกแบบมาตรการเหล่านี้ร่วมกับหลายกระทรวง
สูญเสียชีวิต – เงินเยียวยารวมสูงสุดระดับล้านบาท
กรณีมีผู้เสียชีวิตจากอุทกภัยในพื้นที่ เช่น หาดใหญ่ รัฐบาลประกาศให้เยียวยา เงินปลงศพรายละ 2 ล้านบาท (ตามกรอบที่ ศป.กฉ. แถลง) รายละเอียดเกณฑ์ปลีกย่อยจะตามออกมาในภายหลัง
นอกจากนี้ หากผู้เสียชีวิตเป็น ผู้ประกันตนประกันสังคม ยังมีสิทธิจากกองทุนประกันสังคมเพิ่ม เช่น
- ผู้ประกันตน มาตรา 33 และ 39
- ค่าทำศพ 50,000 บาท
- เงินบำเหน็จชราภาพพร้อมผลตอบแทน (แล้วแต่เงื่อนไขยอดส่งสมทบ)
- เงินสงเคราะห์กรณีตาย สำหรับผู้ส่งสมทบไม่น้อยกว่า 36 เดือน
- ผู้ประกันตน มาตรา 40 (อาชีพอิสระ/นอกระบบ)
- สิทธิขึ้นอยู่กับทางเลือกที่สมัคร
- เพดานสูงสุดมักเทียบได้กับค่าทำศพ 50,000 บาท + เงินบำเหน็จชราภาพ
สรุป: ทายาทควรตรวจสอบทันทีว่า ผู้เสียชีวิตเป็นผู้ประกันตนหรือไม่ เพราะเงินเยียวยาไม่ได้มาจากรัฐเพียงก้อนเดียว แต่รวมถึงสิทธิสะสมในระบบประกันสังคมด้วย
สูญเสียทรัพย์สิน – ได้เงินครัวเรือนละ 9,000–29,000 บาท ตามวันน้ำท่วมขัง
คณะรัฐมนตรีมีมติออก เงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยฤดูฝน ปี 2568 แบบเหมาจ่าย
- ก้อนพื้นฐาน: ครัวเรือนละ 9,000 บาท
- สำหรับบ้านที่ “มีผู้อยู่อาศัยจริง” และอยู่ในเขตที่ประกาศภัยพิบัติ
จากนั้นมีมติ เพิ่มเงินเยียวยาแบบขั้นบันได ตามระยะเวลาน้ำท่วมขัง
- น้ำท่วมขัง 31–60 วัน: เพิ่ม 5,000 บาท
- 61–90 วัน: เพิ่ม 10,000 บาท
- 91–120 วัน: เพิ่ม 15,000 บาท
- 121 วันขึ้นไป: เพิ่ม 20,000 บาท
เมื่อรวมกับ 9,000 บาทแรก คนที่น้ำท่วมบ้านนานสุดระดับ 121 วันขึ้นไป จะได้รับสูงสุด ครัวเรือนละ 29,000 บาท
พื้นที่ที่เข้าข่ายรวมแล้วกว่า 72 จังหวัดทั่วประเทศ หลังมีมติ ครม. เพิ่มอีก 7 จังหวัด รวมถึงหลายจังหวัดภาคใต้ เช่น ตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ลพบุรี และสงขลา
กรณี หาดใหญ่ ที่น้ำท่วมขังไม่ถึงเกณฑ์ขั้นบันไดสูงสุด ส่วนใหญ่จึงอยู่ในกลุ่มที่ได้ 9,000 บาทต่อครัวเรือน เป็นหลัก
ช่องทางยื่นรับเงินเยียวยา
ผู้ประสบภัยสามารถยื่นคำร้องได้ 2 ทางหลัก
- ผ่านเว็บไซต์กลางของรัฐ (เช่นพอร์ทัลน้ำท่วมที่เปิดเฉพาะช่วงโครงการ)
- ยื่นที่ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น – เทศบาล อบต. อบจ. ในพื้นที่
สิ่งสำคัญคือ
- ต้องยื่นภายในเวลาที่กำหนด
- ต้องมีหลักฐานว่าเป็นผู้พักอาศัยในบ้านหลังนั้นจริง
- ถ่ายรูป–เก็บหลักฐานความเสียหายไว้เสมอ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณา
มาตรการเยียวยาทางอ้อม – พักหนี้ ดอก 0% ภาษี และเคลมประกัน
นอกจากเงินเยียวยาเป็นก้อนแล้ว ยังมีมาตรการ “ทางอ้อม” ที่ช่วยให้คนประสบภัยหายใจโล่งขึ้น ทั้งประชาชนทั่วไปและผู้ประกอบการ
ตัวอย่างมาตรการทางอ้อมที่ถูกพูดถึง เช่น
- พักหนี้–พักดอกเบี้ย
- สำหรับลูกหนี้ธนาคารของรัฐ วงเงินหนี้รวมไม่เกิน 1 ล้านบาท
- พักได้สูงสุด 6 เดือน ทำให้มีเวลาเรียกสภาพคล่องกลับมา
- กู้เสริมสภาพคล่อง
- ลูกค้าเดิมของธนาคารรัฐที่ยังมีวงเงินกู้คงเหลือ สามารถขอกู้เสริมสภาพคล่องได้
- วงเงินราว 100,000 บาทต่อราย ดอกเบี้ย 0% ในช่วงแรก
- สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
- ปีแรกดอกเบี้ย 0% แล้วค่อยขยับขึ้นตามเกณฑ์ในปีถัดไป
- มาตรการภาษี
- ขยายเวลา ยื่นแบบภาษี
- ยกเว้นภาษีเงินได้บางกรณีพิเศษ
- ยกเว้นอากรศุลกากรเครื่องจักร–ชิ้นส่วนที่เสียหายในพื้นที่ภัยพิบัติ
- เงินบริจาคช่วยน้ำท่วม สามารถนำไป หักลดหย่อนภาษี ได้
- เคลมประกันรถ–บ้านง่ายขึ้น
- สำนักงาน คปภ. ประสานบริษัทประกันให้ใช้รูปถ่ายประกอบการเคลม
- ลดขั้นตอนเอกสาร เพื่อให้ผู้ประสบภัยได้เงินซ่อมแซมเร็วที่สุด

เงินเยียวยาน้ำท่วมกับ SME ภาคใต้ – มาตรการ “พักหนี้–ดีพร้อมช่วยฟื้น”
ฝั่งผู้ประกอบการรายย่อย–SME ก็เจ็บหนักไม่แพ้ครัวเรือน เพราะน้ำเข้าทีเดียวอาจเสียทั้งเครื่องจักร สต๊อกสินค้า และรายได้
กระทรวงอุตสาหกรรม ผ่าน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM) เลยออกมาตรการ “พักหนี้–ดีพร้อมช่วยฟื้น” ช่วย SME ภาคใต้ที่โดนอุทกภัย
มาตรการหลัก ได้แก่
- พักชำระ “ทั้งต้น–ดอก” สูงสุด 4 เดือน สำหรับลูกหนี้เดิม
- ปรับลดค่างวด และขยายเวลาผ่อนหนี้ได้ไม่เกิน 2 ปี
- ลูกหนี้รายใหม่ สมัครสินเชื่อ “เงินง่าย ฟื้นได้ ช่วยภัยพิบัติ”
- วงเงินรายละ ไม่เกิน 500,000 บาท
- ดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือนแรก
- พักชำระดอกเบี้ยเพิ่มอีก 3 เดือน สำหรับรายที่หนักจริง
- ลูกหนี้เดิมสามารถขอ รีไฟแนนซ์ (Refinance) เพื่อลดดอกเบี้ย ปรับโครงสร้างหนี้ให้เบาลง
แนวคิดหลักคือ “ไม่ปล่อยให้ธุรกิจเล็ก ๆ ล้มถาวรเพราะน้ำท่วมครั้งเดียว” แต่ช่วยพยุงให้กลับมาฟื้น กู้ความเชื่อมั่น และรักษาการจ้างงานในท้องถิ่น
ผู้ประสบภัยน้ำท่วม “ฟ้องรัฐ” ได้ไหม? มุมกฎหมายที่ควรรู้
ในบางกรณีที่ความเสียหายเกิดจากการจัดการของรัฐที่บกพร่อง เช่น ระบบระบายน้ำที่ทำไม่ดี เขื่อนกั้นน้ำพังเพราะออกแบบไม่เหมาะสม หรือแจ้งเตือนประชาชนล่าช้า ผู้ประสบภัย “มีสิทธิฟ้องหน่วยงานรัฐ” ผ่านศาลปกครองได้
กรอบกฎหมายหลักใช้ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 ซึ่งครอบคลุมกรณีสำคัญ เช่น
- การกระทำของหน่วยงานรัฐที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
- การละเลยหรือล่าช้า ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด
- การกระทำละเมิด หรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานรัฐจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย
เคยมีตัวอย่างคดีหลัง น้ำท่วมปี 2554 ที่ประชาชน–เอกชนฟ้องหน่วยงานรัฐ เช่น
- คดีบริษัทเอกชนที่บ้านทรงไทยถูกน้ำท่วมเพราะคันดินแก้มลิงที่กรุงเทพมหานครทำพังถล่ม ศาลปกครองสูงสุดเคยพิพากษาให้ กทม. ชดใช้ค่าสินไหมหลายล้านบาท
- คดีชาวบ้านในเขตเทศบาลบางพื้นที่ ถูกปฏิเสธหรือถูกเรียกคืนเงินเยียวยาน้ำท่วม ศาลก็มีคำวินิจฉัยให้ได้รับเงินชดเชยบางส่วน เมื่อพิสูจน์ได้ว่าเสียหายจากอุทกภัยจริง
หลักใหญ่ใจความคือ
- ต้องพิสูจน์ได้ว่า หน่วยงานรัฐมี “หน้าที่ตามกฎหมาย” อยู่ก่อน
- แล้วเกิดการละเลย ล่าช้า หรือจัดการผิดพลาด
- ความเสียหายที่เกิดขึ้นต้องเชื่อมโยงกับการกระทำหรือการละเลยนั้นอย่างชัดเจน
ศาลอาจให้เยียวยาเต็ม หรือบางส่วน แล้วแต่ข้อเท็จจริงและการพิสูจน์หลักฐาน
สำคัญ: ถึงจะได้รับเงินเยียวยาจากรัฐไปแล้ว ก็ยังสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมได้ หากเห็นว่าความเสียหายจริงสูงกว่าเงินที่ได้รับ แต่ศาลจะนำเงินเยียวยาที่ได้ไปแล้วมาหักรวม-ประกอบการพิจารณา
นอกจากฟ้อง “เรียกค่าเสียหาย” แล้ว ยังสามารถฟ้อง “ให้รัฐลงมือทำ” เช่น สั่งให้
- ทำระบบเตือนภัย
- ขุดลอกคูระบายน้ำ
- ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานรองรับน้ำหลาก
เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุซ้ำแบบเดิมในอนาคต
ใช้ “เงินเยียวยาน้ำท่วม” อย่างไรให้ฟื้นได้จริง ไม่ใช่แค่ปลดหนี้ชั่วคราว
หลายครอบครัว–หลายธุรกิจเคยเจอมาแล้วว่า ได้เงินเยียวยา–ได้พักหนี้ แต่ไม่นานก็กลับมา “ติดหล่มเดิม” ถ้าไม่มีการวางแผนที่ดี
แนวคิดที่ช่วยให้เงินเยียวยาทำงานเต็มประสิทธิภาพ มีประมาณนี้
- แยก “ของจำเป็น” กับ “ของอยากได้” ให้ชัด
- เงินเยียวยาควรไปลงกับบ้าน ซ่อมไฟ–โครงสร้าง–พื้น–ผนัง ของจำเป็นในชีวิตก่อน
- วางแผนใช้เงินเป็นลำดับ
- ซ่อมบ้านให้กลับมาอยู่ได้
- ซื้อของใช้จำเป็น เครื่องนอน เครื่องครัว
- ถ้ามีเหลือค่อยเสริมทุนทำกินต่อ เช่น เครื่องมือทำงาน ทุนซื้อวัตถุดิบ
- ใช้สิทธิพักหนี้–ลดดอก ให้เหมือน “ซื้อเวลา” มาจัดระเบียบการเงินใหม่
- ช่วงพักหนี้ไม่ใช่จังหวะใช้เงินสบาย แต่คือช่วงตึงระเบียบรายจ่าย
- ถ้าเป็น SME ใช้โอกาสนี้รีเซ็ตระบบธุรกิจ
- ทบทวนทำเล เส้นทางน้ำท่วม
- ปรับสต๊อก–ปรับรูปแบบขาย เช่น เสริมช่องทางออนไลน์
- อย่าลืม “ป้องกันรอบหน้า” ด้วย
- ศึกษาเรื่องประกันภัยบ้าน–ประกันภัยธุรกิจที่ครอบคลุมภัยธรรมชาติ
- จัดเก็บเอกสารสำคัญในที่ปลอดภัยกันน้ำ
เช็กลิสต์เบื้องต้นที่คนไทยควรรู้ทุกครั้งที่มีน้ำท่วม
เพื่อให้คำว่า เงินเยียวยาน้ำท่วม ไม่ใช่แค่เงินก้อนที่มากับข่าวแล้วก็หายไป ลองเช็กตัวเองตามนี้
- ถ่ายรูป–วิดีโอเก็บหลักฐานความเสียหายทุกจุดในบ้าน/ร้าน/โรงงาน
- เก็บใบเสร็จค่าใช้จ่ายซ่อมแซมไว้ เผื่อใช้ประกอบการขอชดเชย
- ตรวจสิทธิใน
- เงินเยียวยาจากรัฐ (ระดับครัวเรือน)
- สิทธิประกันสังคม (กรณีมีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บหนัก)
- กรมธรรม์ประกันภัยที่มีอยู่เดิม
- ทบทวนว่าเราเป็นลูกหนี้ธนาคารไหนบ้าง มีมาตรการพักหนี้/ลดดอกหรือไม่
- ถ้าเป็นผู้ประกอบการ SME ตรวจสิทธิในมาตรการของ DIPROM หรือหน่วยงานอื่น
- ศึกษาช่องทางร้องเรียน–ฟ้องคดีในกรณีที่สงสัยว่าหน่วยงานรัฐจัดการล่าช้า–ละเลย
ยิ่งรู้สิทธิเร็วเท่าไหร่ การฟื้นตัวหลังน้ำลดก็ยิ่งเร็วเท่านั้น

สรุป: เงินเยียวยาน้ำท่วมไม่ใช่ “บุญคุณ” แต่คือ “สิทธิ” ที่ต้องรู้และต้องกล้าใช้
ไม่ว่าจะเป็น เงินเยียวยาครัวเรือน 9,000–29,000 บาท, เงินปลงศพ 2 ล้านบาท, สิทธิจาก ประกันสังคม, มาตรการ พักหนี้–ลดดอก–กู้ซ่อมบ้านของ ธอส., หรือแพ็กเกจ พักหนี้–ดีพร้อมช่วยฟื้น สำหรับ SME ล้วนเป็น “เครื่องมือ” ที่ออกแบบมาให้ประชาชนลุกขึ้นตั้งหลักใหม่ ไม่ใช่ของแจกเล่น ๆ
หน้าที่ของเราคือ
- รู้สิทธิของตัวเอง
- ใช้สิทธิอย่างมีแผน
- กล้าตั้งคำถาม–กล้าทวงถาม เมื่อเห็นการจัดการที่ล่าช้าหรือละเลย
เพราะทุกหยดน้ำที่ท่วมบ้านคือเรื่องใหญ่ของชีวิตจริง ไม่ใช่แค่ภาพข่าวที่เลื่อนผ่านหน้าจอ
ใครอยากตามทุกมุมของมาตรการช่วยเหลือ ภัยพิบัติ เศรษฐกิจฐานราก และเรื่องใหญ่ของคนไทยทั้งประเทศ อย่าลืม ติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา


