เงินเยียวยาน้ำท่วมภาคใต้ ไม่ได้มีแค่ตัวเลขในข่าว แต่คือ “โอกาสตั้งหลักใหม่” ของทั้งครัวเรือน–ธุรกิจ

ดูบอลสด ดูบอลออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง

ทุกครั้งที่น้ำหลากเข้าบ้าน ไม่ได้พัดไปแค่ข้าวของ แต่พัดเอา “ความมั่นคง” ของทั้งครอบครัวและธุรกิจไปด้วย ทั้งบ้าน รถ ของใช้ เครื่องจักร ตลอดจนรายได้ที่หายวับไปในพริบตา ดังนั้นคำว่า “เงินเยียวยาน้ำท่วม” จึงไม่ใช่คำสวย ๆ ในแถลงข่าว แต่คือเรื่องจริงที่กระทบปากท้องคนทั้งเมือง

น้ำท่วมภาคใต้ รอบนี้ในพื้นที่ ภาคใต้ โดยเฉพาะ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา รัฐบาล–ธนาคารของรัฐ–หน่วยงานด้านอุตสาหกรรม เดินเกมออกมาตรการมาหลายชุด ตั้งแต่พักหนี้บ้าน พักหนี้ SME ลดดอกเบี้ย ปล่อยสินเชื่อฉุกเฉิน ไปจนถึงเงินเยียวยาเป็นก้อน และสิทธิทางกฎหมายที่ผู้ประสบภัย “มีสิทธิเรียกร้องได้” ถ้าหน่วยงานรัฐละเลยหน้าที่

บ้านกีฬาเลยขอรวบทุกมุมมองของคำว่า เงินเยียวยาน้ำท่วม มาเล่าให้ครบ เปลี่ยนข่าวที่ดูไกลตัว ให้กลายเป็น “คู่มือเอาตัวรอด” ที่ใช้ได้จริงทุกครั้งที่เจออุทกภัย

ธอส. ออก 7 มาตรการพักหนี้–ลดดอก–ซ่อมบ้าน ช่วยผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้

หนึ่งในตัวจริงของคนมีบ้านคือ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ที่ออกมาตรการช่วยผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ภายใต้ “มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ปี 2568” ครอบคลุมตั้งแต่ลูกค้าปกติ ลูกค้าใหม่ ไปจนถึงลูกหนี้ NPL ที่บ้านเสียหาย

ภาพรวมคือ ธอส. ช่วยทั้ง

  • พักชำระหนี้
  • ลดเงินงวด
  • ลดดอกเบี้ย
  • กู้ซ่อมบ้านเพิ่ม
  • เคลมสินไหมประกันภัยแบบเร่งด่วน

ใครที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ ติดต่อยื่นความประสงค์ได้ที่ ทุกสาขาของ ธอส. ทั่วประเทศ

เจาะลึก 7 มาตรการ ธอส. ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม

1) ลูกค้าปัจจุบัน – พักหนี้ 3 เดือน ดอกเบี้ย 0% พร้อมลดเงินงวด 50%

  • พักชำระหนี้ได้นาน 3 เดือนแรก ดอกเบี้ย 0% ต่อปี
  • เดือนที่ 4–12 คิดดอกเบี้ยเพียง 2.00% ต่อปี
  • สามารถลดเงินงวดลงได้ 50% จากเดิม
  • ครบ 1 ปีแล้ว กลับไปใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม

เพิ่มเติม:
ลูกค้าที่ต้องการ กู้ซ่อมแซมหรือแต่งบ้าน สามารถใช้

  • สินเชื่อ “ซ่อม–แต่ง” และ “ซ่อม–แต่ง Plus”
  • วงเงินสูงสุด 300,000 บาทต่อราย ผ่อนสูงสุด 5 ปี
  • 100,000 บาทแรก ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แค่ 1% ต่อปี
  • 200,000 บาทถัดมา ดอกเบี้ย 1.99% ต่อปี
  • ไม่ต้องจดจำนองเพิ่มที่สำนักงานที่ดิน ช่วยลดต้นทุนเอกสารและค่าธรรมเนียม

2) ลูกค้าปัจจุบัน–ลูกค้าใหม่ กู้เพิ่มสร้าง–ซ่อมบ้าน วงเงินสูงสุด 2 ล้านบาท

เหมาะกับคนที่บ้านเสียหายหนัก ต้องสร้างใหม่หรือซ่อมใหญ่

  • วงเงินสูงสุด 2 ล้านบาทต่อรายต่อหลักประกัน
  • เดือนที่ 1–3
    • ดอกเบี้ย 0% ต่อปี
    • ปลอดชำระเงินงวด
  • เดือนที่ 4–24
    • ดอกเบี้ยเพียง 2.00% ต่อปี
  • ปีที่ 3
    • ดอกเบี้ย MRR–3.30% (ประมาณ 2.945% ต่อปี)
  • ปีที่ 4
    • ดอกเบี้ย MRR–2.40% (ประมาณ 3.845% ต่อปี)
  • ปีที่ 5 เป็นต้นไป
    • ลูกค้ารายย่อย: ดอกเบี้ย MRR–0.50%
    • ลูกค้าสวัสดิการ: ดอกเบี้ย MRR–1.00%
    • กู้ซื้ออุปกรณ์–สิ่งอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย: ดอกเบี้ย MRR
    • (ปัจจุบันอัตรา MRR ธอส. อยู่ที่ 6.245% ต่อปี)

ระยะเวลาผ่อนสูงสุด 40 ปี กู้ 1 ล้านบาท ผ่อนเริ่มต้นประมาณ 3,100 บาทต่อเดือน

ฟรี:

  • ค่าประเมินราคาหลักประกัน (ประมาณ 1,900–2,800 บาท)
  • ค่าธรรมเนียมจดจำนองไม่เกิน 1% ของวงเงินจำนอง

3) ลูกหนี้ NPL ที่บ้านเสียหาย – ดอก 0% 6 เดือนแรก

กลุ่มนี้คือคนที่เป็นหนี้เสีย (NPL) อยู่แล้ว แล้วยังมาเจอภัยน้ำท่วมซ้ำอีก ธอส. มีทางออกให้

  • ประนอมหนี้นาน ไม่เกิน 1 ปี 6 เดือน (18 เดือน)
  • 6 เดือนแรก
    • ดอกเบี้ย 0% ต่อปี และไม่ต้องจ่ายเงินงวด
  • เดือนที่ 7–18
    • ดอกเบี้ย 1.00% ต่อปี
    • ผ่อนชำระไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยรายเดือน

ครบระยะเวลาแล้วกลับไปใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม ตามสิทธิที่มีอยู่ก่อนใช้มาตรการ

4) ลูกหนี้ NPL ที่รายได้หาย – ผ่อนแค่เดือนละ 1,000 บาทช่วงแรก

สำหรับคนเป็น NPL เพราะรายได้หาย รายได้ลด ร้านค้าปิด น้ำท่วมแล้วทำมาหากินไม่ได้

  • ประนอมหนี้นาน ไม่เกิน 1 ปี
  • 6 เดือนแรก
    • ดอกเบี้ย 0% ต่อปี
    • ผ่อนชำระเพียง 1,000 บาทต่อเดือน (ตัดเข้าเงินต้นทั้งหมด)
  • เดือนที่ 7–12
    • ดอกเบี้ย 1.00% ต่อปี
    • ผ่อนอย่างน้อยเท่าดอกเบี้ย + เพิ่มอีก 100 บาท

ครบกำหนดประนอมหนี้ กลับไปใช้อัตราดอกเบี้ยตามสิทธิเดิม

5) ลูกค้าปกติ–NPL ที่เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร

กรณีหนักสุดของครอบครัว ธอส. พิจารณาช่วยแบบพิเศษ

  • คิดดอกเบี้ยเพียง 0.01% ต่อปี
  • ให้ผ่อนชำระในอัตราพิเศษนี้ตลอดระยะเวลาคงเหลือ
  • พิจารณาเป็นรายกรณี เน้นช่วยครอบครัวให้พอหายใจต่อได้

6) บ้านพังทั้งหลัง – ปลดหนี้ส่วนตัวบ้าน เหลือผ่อนแต่ที่ดิน

ถ้าบ้านเสียหายทั้งหลังและไม่สามารถซ่อมได้ ธอส. สามารถ

  • ปลดหนี้ส่วนของตัวอาคาร
  • ให้ผ่อนต่อเฉพาะ ส่วนของที่ดิน ที่ยังเหลืออยู่
  • เป็นมาตรการที่ช่วยลดภาระก้อนใหญ่ของครอบครัวที่เสียหายหนัก

พิจารณาเป็นรายกรณีตามสภาพจริงของความเสียหาย

7) เคลมสินไหมเร่งด่วน (Fast Track) – จ่ายตามรูปถ่าย

สำหรับลูกค้าที่ทำกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยที่อยู่อาศัย ที่รวมความคุ้มครองภัยธรรมชาติไว้

  • เคลมได้แบบ เร่งด่วนเป็นพิเศษ
  • ใช้รูปถ่ายความเสียหายประกอบการแจ้งเคลม
  • จ่ายตามความเสียหายจริง ไม่เกิน 20,000 บาท
  • ถ้ามีกรมธรรม์ที่เริ่มคุ้มครองตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นมา
    • เพิ่มความคุ้มครองภัยธรรมชาติอีก ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี

ปลายทาง: ธอส. ไม่ได้ช่วยแค่เรื่องตัวเลข แต่ยังลงพื้นที่ร่วมกับกรมธนารักษ์และกองทัพอากาศ แจกถุงยังชีพ–อาหารพร้อมทานให้ผู้ประสบภัยใน อ.หาดใหญ่ และพื้นที่ภาคใต้

ช่องทางติดต่อ:

  • สาขา ธอส. ทุกแห่ง
  • G H Bank Call Center โทร. 0-2645-9000
  • Facebook Fanpage: ธนาคารอาคารสงเคราะห์
  • เว็บไซต์ และโซเชียลมีเดียของ G H Bank

เงินเยียวยาน้ำท่วมจากรัฐ ครัวเรือนละ 9,000 – 29,000 บาท คิดยังไง ใครได้บ้าง

ด้านรัฐบาลเอง มีมาตรการ เงินเยียวยาน้ำท่วม ทั้งแบบจ่ายตรงเป็นเงินสด และช่วยทางอ้อม ผ่านการพักหนี้–ลดภาษี–สนับสนุนดอกเบี้ย

โครงหลัก 3 ระยะ

  1. การช่วยเหลือระยะสั้น – เงินเยียวยาเร่งด่วน ช่วยตั้งหลัก
  2. การเยียวยาระยะกลาง – ฟื้นฟูบ้านเรือนและทรัพย์สิน
  3. การฟื้นฟูระยะยาว – ฟื้นเศรษฐกิจ สร้างโครงสร้างพื้นฐาน ปรับระบบป้องกันน้ำท่วม

ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย (ศป.กฉ.) เป็นหน่วยกลางที่ออกแบบมาตรการเหล่านี้ร่วมกับหลายกระทรวง

สูญเสียชีวิต – เงินเยียวยารวมสูงสุดระดับล้านบาท

กรณีมีผู้เสียชีวิตจากอุทกภัยในพื้นที่ เช่น หาดใหญ่ รัฐบาลประกาศให้เยียวยา เงินปลงศพรายละ 2 ล้านบาท (ตามกรอบที่ ศป.กฉ. แถลง) รายละเอียดเกณฑ์ปลีกย่อยจะตามออกมาในภายหลัง

นอกจากนี้ หากผู้เสียชีวิตเป็น ผู้ประกันตนประกันสังคม ยังมีสิทธิจากกองทุนประกันสังคมเพิ่ม เช่น

  • ผู้ประกันตน มาตรา 33 และ 39
    • ค่าทำศพ 50,000 บาท
    • เงินบำเหน็จชราภาพพร้อมผลตอบแทน (แล้วแต่เงื่อนไขยอดส่งสมทบ)
    • เงินสงเคราะห์กรณีตาย สำหรับผู้ส่งสมทบไม่น้อยกว่า 36 เดือน
  • ผู้ประกันตน มาตรา 40 (อาชีพอิสระ/นอกระบบ)
    • สิทธิขึ้นอยู่กับทางเลือกที่สมัคร
    • เพดานสูงสุดมักเทียบได้กับค่าทำศพ 50,000 บาท + เงินบำเหน็จชราภาพ

สรุป: ทายาทควรตรวจสอบทันทีว่า ผู้เสียชีวิตเป็นผู้ประกันตนหรือไม่ เพราะเงินเยียวยาไม่ได้มาจากรัฐเพียงก้อนเดียว แต่รวมถึงสิทธิสะสมในระบบประกันสังคมด้วย

สูญเสียทรัพย์สิน – ได้เงินครัวเรือนละ 9,000–29,000 บาท ตามวันน้ำท่วมขัง

คณะรัฐมนตรีมีมติออก เงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยฤดูฝน ปี 2568 แบบเหมาจ่าย

  • ก้อนพื้นฐาน: ครัวเรือนละ 9,000 บาท
  • สำหรับบ้านที่ “มีผู้อยู่อาศัยจริง” และอยู่ในเขตที่ประกาศภัยพิบัติ

จากนั้นมีมติ เพิ่มเงินเยียวยาแบบขั้นบันได ตามระยะเวลาน้ำท่วมขัง

  • น้ำท่วมขัง 31–60 วัน: เพิ่ม 5,000 บาท
  • 61–90 วัน: เพิ่ม 10,000 บาท
  • 91–120 วัน: เพิ่ม 15,000 บาท
  • 121 วันขึ้นไป: เพิ่ม 20,000 บาท

เมื่อรวมกับ 9,000 บาทแรก คนที่น้ำท่วมบ้านนานสุดระดับ 121 วันขึ้นไป จะได้รับสูงสุด ครัวเรือนละ 29,000 บาท

พื้นที่ที่เข้าข่ายรวมแล้วกว่า 72 จังหวัดทั่วประเทศ หลังมีมติ ครม. เพิ่มอีก 7 จังหวัด รวมถึงหลายจังหวัดภาคใต้ เช่น ตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ลพบุรี และสงขลา

กรณี หาดใหญ่ ที่น้ำท่วมขังไม่ถึงเกณฑ์ขั้นบันไดสูงสุด ส่วนใหญ่จึงอยู่ในกลุ่มที่ได้ 9,000 บาทต่อครัวเรือน เป็นหลัก

ช่องทางยื่นรับเงินเยียวยา

ผู้ประสบภัยสามารถยื่นคำร้องได้ 2 ทางหลัก

  1. ผ่านเว็บไซต์กลางของรัฐ (เช่นพอร์ทัลน้ำท่วมที่เปิดเฉพาะช่วงโครงการ)
  2. ยื่นที่ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น – เทศบาล อบต. อบจ. ในพื้นที่

สิ่งสำคัญคือ

  • ต้องยื่นภายในเวลาที่กำหนด
  • ต้องมีหลักฐานว่าเป็นผู้พักอาศัยในบ้านหลังนั้นจริง
  • ถ่ายรูป–เก็บหลักฐานความเสียหายไว้เสมอ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณา

มาตรการเยียวยาทางอ้อม – พักหนี้ ดอก 0% ภาษี และเคลมประกัน

นอกจากเงินเยียวยาเป็นก้อนแล้ว ยังมีมาตรการ “ทางอ้อม” ที่ช่วยให้คนประสบภัยหายใจโล่งขึ้น ทั้งประชาชนทั่วไปและผู้ประกอบการ

ตัวอย่างมาตรการทางอ้อมที่ถูกพูดถึง เช่น

  • พักหนี้–พักดอกเบี้ย
    • สำหรับลูกหนี้ธนาคารของรัฐ วงเงินหนี้รวมไม่เกิน 1 ล้านบาท
    • พักได้สูงสุด 6 เดือน ทำให้มีเวลาเรียกสภาพคล่องกลับมา
  • กู้เสริมสภาพคล่อง
    • ลูกค้าเดิมของธนาคารรัฐที่ยังมีวงเงินกู้คงเหลือ สามารถขอกู้เสริมสภาพคล่องได้
    • วงเงินราว 100,000 บาทต่อราย ดอกเบี้ย 0% ในช่วงแรก
  • สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
    • ปีแรกดอกเบี้ย 0% แล้วค่อยขยับขึ้นตามเกณฑ์ในปีถัดไป
  • มาตรการภาษี
    • ขยายเวลา ยื่นแบบภาษี
    • ยกเว้นภาษีเงินได้บางกรณีพิเศษ
    • ยกเว้นอากรศุลกากรเครื่องจักร–ชิ้นส่วนที่เสียหายในพื้นที่ภัยพิบัติ
    • เงินบริจาคช่วยน้ำท่วม สามารถนำไป หักลดหย่อนภาษี ได้
  • เคลมประกันรถ–บ้านง่ายขึ้น
    • สำนักงาน คปภ. ประสานบริษัทประกันให้ใช้รูปถ่ายประกอบการเคลม
    • ลดขั้นตอนเอกสาร เพื่อให้ผู้ประสบภัยได้เงินซ่อมแซมเร็วที่สุด

เงินเยียวยาน้ำท่วมกับ SME ภาคใต้ – มาตรการ “พักหนี้–ดีพร้อมช่วยฟื้น”

ฝั่งผู้ประกอบการรายย่อย–SME ก็เจ็บหนักไม่แพ้ครัวเรือน เพราะน้ำเข้าทีเดียวอาจเสียทั้งเครื่องจักร สต๊อกสินค้า และรายได้

กระทรวงอุตสาหกรรม ผ่าน กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM) เลยออกมาตรการ “พักหนี้–ดีพร้อมช่วยฟื้น” ช่วย SME ภาคใต้ที่โดนอุทกภัย

มาตรการหลัก ได้แก่

  • พักชำระ “ทั้งต้น–ดอก” สูงสุด 4 เดือน สำหรับลูกหนี้เดิม
  • ปรับลดค่างวด และขยายเวลาผ่อนหนี้ได้ไม่เกิน 2 ปี
  • ลูกหนี้รายใหม่ สมัครสินเชื่อ “เงินง่าย ฟื้นได้ ช่วยภัยพิบัติ”
    • วงเงินรายละ ไม่เกิน 500,000 บาท
    • ดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือนแรก
  • พักชำระดอกเบี้ยเพิ่มอีก 3 เดือน สำหรับรายที่หนักจริง
  • ลูกหนี้เดิมสามารถขอ รีไฟแนนซ์ (Refinance) เพื่อลดดอกเบี้ย ปรับโครงสร้างหนี้ให้เบาลง

แนวคิดหลักคือ “ไม่ปล่อยให้ธุรกิจเล็ก ๆ ล้มถาวรเพราะน้ำท่วมครั้งเดียว” แต่ช่วยพยุงให้กลับมาฟื้น กู้ความเชื่อมั่น และรักษาการจ้างงานในท้องถิ่น

ผู้ประสบภัยน้ำท่วม “ฟ้องรัฐ” ได้ไหม? มุมกฎหมายที่ควรรู้

ในบางกรณีที่ความเสียหายเกิดจากการจัดการของรัฐที่บกพร่อง เช่น ระบบระบายน้ำที่ทำไม่ดี เขื่อนกั้นน้ำพังเพราะออกแบบไม่เหมาะสม หรือแจ้งเตือนประชาชนล่าช้า ผู้ประสบภัย “มีสิทธิฟ้องหน่วยงานรัฐ” ผ่านศาลปกครองได้

กรอบกฎหมายหลักใช้ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 ซึ่งครอบคลุมกรณีสำคัญ เช่น

  1. การกระทำของหน่วยงานรัฐที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
  2. การละเลยหรือล่าช้า ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด
  3. การกระทำละเมิด หรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานรัฐจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย

เคยมีตัวอย่างคดีหลัง น้ำท่วมปี 2554 ที่ประชาชน–เอกชนฟ้องหน่วยงานรัฐ เช่น

  • คดีบริษัทเอกชนที่บ้านทรงไทยถูกน้ำท่วมเพราะคันดินแก้มลิงที่กรุงเทพมหานครทำพังถล่ม ศาลปกครองสูงสุดเคยพิพากษาให้ กทม. ชดใช้ค่าสินไหมหลายล้านบาท
  • คดีชาวบ้านในเขตเทศบาลบางพื้นที่ ถูกปฏิเสธหรือถูกเรียกคืนเงินเยียวยาน้ำท่วม ศาลก็มีคำวินิจฉัยให้ได้รับเงินชดเชยบางส่วน เมื่อพิสูจน์ได้ว่าเสียหายจากอุทกภัยจริง

หลักใหญ่ใจความคือ

  • ต้องพิสูจน์ได้ว่า หน่วยงานรัฐมี “หน้าที่ตามกฎหมาย” อยู่ก่อน
  • แล้วเกิดการละเลย ล่าช้า หรือจัดการผิดพลาด
  • ความเสียหายที่เกิดขึ้นต้องเชื่อมโยงกับการกระทำหรือการละเลยนั้นอย่างชัดเจน

ศาลอาจให้เยียวยาเต็ม หรือบางส่วน แล้วแต่ข้อเท็จจริงและการพิสูจน์หลักฐาน

สำคัญ: ถึงจะได้รับเงินเยียวยาจากรัฐไปแล้ว ก็ยังสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมได้ หากเห็นว่าความเสียหายจริงสูงกว่าเงินที่ได้รับ แต่ศาลจะนำเงินเยียวยาที่ได้ไปแล้วมาหักรวม-ประกอบการพิจารณา

นอกจากฟ้อง “เรียกค่าเสียหาย” แล้ว ยังสามารถฟ้อง “ให้รัฐลงมือทำ” เช่น สั่งให้

  • ทำระบบเตือนภัย
  • ขุดลอกคูระบายน้ำ
  • ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานรองรับน้ำหลาก

เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุซ้ำแบบเดิมในอนาคต

ใช้ “เงินเยียวยาน้ำท่วม” อย่างไรให้ฟื้นได้จริง ไม่ใช่แค่ปลดหนี้ชั่วคราว

หลายครอบครัว–หลายธุรกิจเคยเจอมาแล้วว่า ได้เงินเยียวยา–ได้พักหนี้ แต่ไม่นานก็กลับมา “ติดหล่มเดิม” ถ้าไม่มีการวางแผนที่ดี

แนวคิดที่ช่วยให้เงินเยียวยาทำงานเต็มประสิทธิภาพ มีประมาณนี้

  1. แยก “ของจำเป็น” กับ “ของอยากได้” ให้ชัด
    • เงินเยียวยาควรไปลงกับบ้าน ซ่อมไฟ–โครงสร้าง–พื้น–ผนัง ของจำเป็นในชีวิตก่อน
  2. วางแผนใช้เงินเป็นลำดับ
    • ซ่อมบ้านให้กลับมาอยู่ได้
    • ซื้อของใช้จำเป็น เครื่องนอน เครื่องครัว
    • ถ้ามีเหลือค่อยเสริมทุนทำกินต่อ เช่น เครื่องมือทำงาน ทุนซื้อวัตถุดิบ
  3. ใช้สิทธิพักหนี้–ลดดอก ให้เหมือน “ซื้อเวลา” มาจัดระเบียบการเงินใหม่
    • ช่วงพักหนี้ไม่ใช่จังหวะใช้เงินสบาย แต่คือช่วงตึงระเบียบรายจ่าย
  4. ถ้าเป็น SME ใช้โอกาสนี้รีเซ็ตระบบธุรกิจ
    • ทบทวนทำเล เส้นทางน้ำท่วม
    • ปรับสต๊อก–ปรับรูปแบบขาย เช่น เสริมช่องทางออนไลน์
  5. อย่าลืม “ป้องกันรอบหน้า” ด้วย
    • ศึกษาเรื่องประกันภัยบ้าน–ประกันภัยธุรกิจที่ครอบคลุมภัยธรรมชาติ
    • จัดเก็บเอกสารสำคัญในที่ปลอดภัยกันน้ำ

เช็กลิสต์เบื้องต้นที่คนไทยควรรู้ทุกครั้งที่มีน้ำท่วม

เพื่อให้คำว่า เงินเยียวยาน้ำท่วม ไม่ใช่แค่เงินก้อนที่มากับข่าวแล้วก็หายไป ลองเช็กตัวเองตามนี้

  • ถ่ายรูป–วิดีโอเก็บหลักฐานความเสียหายทุกจุดในบ้าน/ร้าน/โรงงาน
  • เก็บใบเสร็จค่าใช้จ่ายซ่อมแซมไว้ เผื่อใช้ประกอบการขอชดเชย
  • ตรวจสิทธิใน
    • เงินเยียวยาจากรัฐ (ระดับครัวเรือน)
    • สิทธิประกันสังคม (กรณีมีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บหนัก)
    • กรมธรรม์ประกันภัยที่มีอยู่เดิม
  • ทบทวนว่าเราเป็นลูกหนี้ธนาคารไหนบ้าง มีมาตรการพักหนี้/ลดดอกหรือไม่
  • ถ้าเป็นผู้ประกอบการ SME ตรวจสิทธิในมาตรการของ DIPROM หรือหน่วยงานอื่น
  • ศึกษาช่องทางร้องเรียน–ฟ้องคดีในกรณีที่สงสัยว่าหน่วยงานรัฐจัดการล่าช้า–ละเลย

ยิ่งรู้สิทธิเร็วเท่าไหร่ การฟื้นตัวหลังน้ำลดก็ยิ่งเร็วเท่านั้น

สรุป: เงินเยียวยาน้ำท่วมไม่ใช่ “บุญคุณ” แต่คือ “สิทธิ” ที่ต้องรู้และต้องกล้าใช้

ไม่ว่าจะเป็น เงินเยียวยาครัวเรือน 9,000–29,000 บาท, เงินปลงศพ 2 ล้านบาท, สิทธิจาก ประกันสังคม, มาตรการ พักหนี้–ลดดอก–กู้ซ่อมบ้านของ ธอส., หรือแพ็กเกจ พักหนี้–ดีพร้อมช่วยฟื้น สำหรับ SME ล้วนเป็น “เครื่องมือ” ที่ออกแบบมาให้ประชาชนลุกขึ้นตั้งหลักใหม่ ไม่ใช่ของแจกเล่น ๆ

หน้าที่ของเราคือ

  • รู้สิทธิของตัวเอง
  • ใช้สิทธิอย่างมีแผน
  • กล้าตั้งคำถาม–กล้าทวงถาม เมื่อเห็นการจัดการที่ล่าช้าหรือละเลย

เพราะทุกหยดน้ำที่ท่วมบ้านคือเรื่องใหญ่ของชีวิตจริง ไม่ใช่แค่ภาพข่าวที่เลื่อนผ่านหน้าจอ

ใครอยากตามทุกมุมของมาตรการช่วยเหลือ ภัยพิบัติ เศรษฐกิจฐานราก และเรื่องใหญ่ของคนไทยทั้งประเทศ อย่าลืม ติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา

ตรวจหวย 24 ชั่วโมง หวยลาว หวยฮานอย

แอดไลน์ @Bankeela รับลิ้งดูบอล ทีเด็ด วิเคราะห์บอลจากทางบ้านกีฬา