ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางชี้ขาด: “มยุรฉัตร” เข้าลักษณะคนไร้ความสามารถ
บ้านกีฬา ขอพาเจาะลึกแบบเน้นๆ หลัง ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำสั่ง ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ให้ “นางมยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช” หรือ “จิ๋ม มยุรฉัตร” ตำนานนักแสดง–ผู้จัดละครชื่อดัง เป็น “คนไร้ความสามารถ” และอยู่ในความอนุบาลของลูกชาย นายณัฐพงศ์ เหมือนประสิทธิเวช (เจ็ท) โดยมีผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานครทำหน้าที่กำกับดูแลด้านทรัพย์สินร่วมด้วย ตามคำสั่งศาลที่ประกาศ ณ วันที่ 20 ตุลาคม 2568 และเผยแพร่ผ่านราชกิจจาฯ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2568
ใจกลางคำสั่งศาลระบุชัดว่า ศาลไต่สวนพยานและหลักฐานจากฝ่ายผู้ร้องแล้วเห็นว่า มยุรฉัตรป่วยเป็น โรคอัลไซเมอร์, มีการอักเสบของสมอง รวมถึงภาวะสมองเสื่อมจากโรคพาร์กินสันต่อเนื่องมากว่า 2 ปี มีอาการจำอะไรไม่ได้ จำบุตรตัวเองไม่ได้ จำคนรอบข้างไม่ได้ พูดคุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ไม่สามารถทำงานหรือช่วยเหลือตัวเองได้ อาการเข้าเกณฑ์ “บุคคลวิกลจริต” ตามกฎหมาย จึงมีคำสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ และต้องอยู่ภายใต้การอนุบาลของบุตรชายผู้ร้อง
ข่าวนี้จึงไม่ใช่แค่ “ข่าวดารา” แต่สะเทือนใจทั้งวงการบันเทิง และยังเชื่อมโยงกับประเด็นใหญ่ของสังคมไทยอย่าง ผู้สูงอายุ, ภาวะสมองเสื่อม, การตั้งผู้อนุบาล และการวางแผนดูแลคนที่เรารักในวันที่ร่างกายและสมองไม่แข็งแรงเหมือนเดิมอีกต่อไป

มาย้อนดูคำสั่งศาลกันชัดๆ – ทำไมต้องมี “ผู้อนุบาล” ดูแล
ในทางกฎหมายไทย ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 28 ถ้าบุคคล “วิกลจริต” หรือมีภาวะที่ไม่สามารถดูแลผลประโยชน์ของตัวเองได้ คู่สมรส บิดามารดา ลูก หลาน หรือผู้ดูแล สามารถยื่นคำร้องให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้นั้นเป็น คนไร้ความสามารถ ได้ และเมื่อตกเป็นคนไร้ความสามารถ ศาลต้องจัดให้ผู้นั้นอยู่ในความดูแลของ ผู้อนุบาล พร้อมสั่งให้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาอย่างเป็นทางการ
ในคดีของมยุรฉัตร ผู้ยื่นคำร้องคือ ลูกชายแท้ๆ ที่ดูแลแม่มาตลอดช่วงที่ป่วย ศาลจึงเห็นว่ามีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะให้เขาเป็นผู้อนุบาล และเพื่อเพิ่มความรัดกุมด้านทรัพย์สินของผู้ไร้ความสามารถ ศาลยังให้ผู้อำนวยการสถานพินิจฯ กรุงเทพฯ กำกับดูแลให้คำปรึกษาผู้อนุบาลในเรื่องการจัดการทรัพย์สินทุกอย่างของมยุรฉัตรด้วย
พูดแบบภาษาบ้านกีฬา คือ นี่คือ “ระบบเซฟตี้” ทางกฎหมาย ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อปกป้องทั้งตัวผู้ป่วยและทรัพย์สินที่เจ้าตัวสร้างมาทั้งชีวิต ไม่ใช่คำสั่งเพื่อ “ผลัก” ใครออกจากสังคม แต่เป็นการ “รับ” เขาไว้ในกรอบการดูแลที่ชัดเจนมากขึ้น
จากจอเงินสู่เบื้องหลัง – ตำนาน “จิ๋ม มยุรฉัตร” ผู้จัดละครตัวแม่ของวงการ
ก่อนจะมาถึงวันที่ศาลต้องเข้ามามีบทบาทในชีวิต บ้านกีฬา ต้องไม่ลืมว่า “มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช” คือหนึ่งในชื่อระดับตำนานของวงการบันเทิงไทย
- เกิดวันที่ 15 พฤษภาคม 2492
- ชื่อเล่น “จิ๋ม”
- บุตรสาวของ สุเทพ เหมือนประสิทธิเวช อดีตนักบรรณาธิการหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ชื่อดัง
- จบ ม.3 จากโรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์ ต่อที่วิทยาลัยพาณิชยการพระนคร แล้วบินไปเรียนเลขานุการต่อที่นิวซีแลนด์
บนเส้นทางสายการแสดง เธอแจ้งเกิดจากหนังดังอย่าง “ป่ากามเทพ” (2519) จนคว้ารางวัล ตุ๊กตาทอง นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม พร้อมบทเด่นอีกเพียบทั้ง “ประสาท”, “กระดังงากลีบทอง”, “คนเริงเมือง”, “บ้านทรายทอง”, “วงศาคณาญาติ”, “เหยื่อ”, “ปราสาทมืด” จนชื่อ “มยุรฉัตร” กลายเป็นหนึ่งในใบหน้าที่คนรักหนัง–ละครยุคคลาสสิกไม่มีวันลืม
จากหน้ากล้อง เธอผันตัวขึ้นมาเป็น ผู้จัดละคร และ นักเขียนบท แบบเต็มตัว งานแรกที่จารึกชื่อคือ “คนเริงเมือง” จากนิยายของสุวรรณี สุคนธา ภายใต้คำแนะนำของศรินทิพย์ ศิริวรรณ ก่อนจะต่อยอดผลิตละครคุณภาพทางช่อง 3 อีกหลายเรื่อง กลายเป็นหนึ่งใน “ครูใหญ่” ของวงการเบื้องหลังของแท้
ครูการแสดง–นักปั้นดาว หลายรุ่นโตมาจากมือของเธอ
อีกด้านหนึ่งที่แฟนๆ วงการรู้ดีคือ บทบาทของมยุรฉัตรในฐานะ ครูการแสดง และ “โค้ช” ของนักแสดงรุ่นแล้วรุ่นเล่า เธอเคยมีส่วนปั้นและดูแลการแสดงของดาราชื่อดังหลายคน ทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นกลาง จนถูกยกให้เป็น “แม่งาน” ที่คอยส่งไม้ต่อให้เด็กๆ เข้าเส้นหลักสู่ความเป็นมืออาชีพจริงๆ
เสน่ห์ของเธอไม่ใช่แค่ความดุหรือเข้มงวดแบบครูการแสดง แต่มาจากการเข้าใจ “จิตใจคนแสดง” มองเห็นศักยภาพ และกล้าที่จะวางใจมอบบทหนักๆ ให้ลองลงสนาม ตั้งแต่ยุคฟิล์มหนังม้วน ไปจนถึงยุคทีวีสีเต็มจอ มยุรฉัตรคือหนึ่งในคนที่ “แบกวงการ” ทั้งหน้าจอและหลังฉากอย่างแท้จริง

ครอบครัวที่ยืนข้างกัน – ยศสินี และเจ็ท ณัฐพงศ์
ในชีวิตส่วนตัว มยุรฉัตรเคยสมรส 2 ครั้ง
- การสมรสครั้งแรกกับ โยธิน ณ นคร มีบุตรสาว 1 คน คือ ยศสินี ณ นคร (จ๋า) ที่ต่อมากลายเป็นผู้จัดละครชื่อดังเช่นกัน
- ต่อมาสมรสกับ นริศ อหะหมัดจุฬา และมีบุตรชาย คือ ณัฐพงศ์ เหมือนประสิทธิเวช (เจ็ท) ซึ่งวันนี้คือคนที่ศาลแต่งตั้งให้เป็นผู้อนุบาลของแม่อย่างเป็นทางการ
หากมองในมุมวงการบันเทิง ความสัมพันธ์ระหว่าง “แม่–ลูกผู้จัดละคร” บ้านนี้ถือเป็นตัวอย่างของการส่งไม้ต่อจากรุ่นบุกเบิกไปสู่รุ่นใหม่อย่างสวยงาม ทั้งในมิติธุรกิจบันเทิง และในมิติความผูกพันของครอบครัว
เมื่อวันที่ร่างกายและสมองของแม่เริ่มถดถอย ลูกก็ต้องลุกขึ้นมารับ “บทนำ” ในชีวิตจริง ทำหน้าที่ดูแลทั้งคน ทั้งทรัพย์สิน และชื่อเสียงที่แม่สะสมมาทั้งชีวิตให้ดีที่สุด
กฎหมาย “คนไร้ความสามารถ” คืออะไร? ไม่ใช่คำด่า แต่คือกลไกคุ้มครอง
หลายคนอ่านคำว่า “คนไร้ความสามารถ” แล้วสะดุ้ง เพราะในภาษาพูดดูแรงมาก แต่ในภาษากฎหมาย นี่คือคำตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 28–31 ที่ใช้อธิบาย “สถานะทางกฎหมาย” ของคนที่ศาลเห็นว่าไม่สามารถจัดการชีวิตและทรัพย์สินของตนเองได้อย่างปลอดภัย
หลักๆ มีสาระสำคัญว่า
- คนวิกลจริตที่ศาลมีคำสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ ต้องอยู่ในความอนุบาล
- แต่งตั้ง “ผู้อนุบาล” ขึ้นมาดูแลผลประโยชน์แทน เช่น ลูก, คู่สมรส, พ่อแม่ หรือคนที่ดูแลใกล้ชิด
- นิติกรรมส่วนใหญ่ที่คนไร้ความสามารถทำเอง เป็น “โมฆียะ” คือไม่สมบูรณ์ ต้องให้ผู้อนุบาลทำแทน
- บางธุรกรรมใหญ่ๆ อาจต้องให้ศาลอนุญาตก่อน เช่น ขายทรัพย์สินสำคัญ จำนอง ให้เช่าซื้อ เป็นต้น
พูดง่ายๆ ถ้าดูในมุมมนุษย์ นี่คือ “เกราะป้องกัน” ไม่ให้คนที่กำลังเปราะบางถูกหลอก ถูกบังคับเซ็นเอกสาร หรือสูญเสียทรัพย์สินที่สะสมมาตลอดชีวิตไปอย่างไม่ยุติธรรม
กรณีของมยุรฉัตร จึงเป็นหนึ่งในตัวอย่างสำคัญ ที่ทำให้คนทั่วไปเริ่มหันมาสนใจคำว่า “ผู้อนุบาล – คนไร้ความสามารถ” ในบริบทของ ผู้สูงอายุและโรคสมองเสื่อม มากขึ้น

อัลไซเมอร์–พาร์กินสัน: ศัตรูเงียบของสังคมสูงวัยไทย
จากข้อมูลด้านสาธารณสุข มีการประมาณว่าในประเทศไทยมีผู้ป่วย โรคอัลไซเมอร์ ไม่ต่ำกว่า 600,000 คน และมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นราว 100,000 คนต่อปี ในกลุ่มอายุ 65 ปีขึ้นไปมีความเสี่ยงราว 5–8% และจะเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่ออายุเกิน 80 ปี
ส่วน โรคพาร์กินสัน ก็เป็นอีกหนึ่งโรคความเสื่อมของระบบประสาทที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ มีความชุกประมาณ 1% ในคนอายุ 60 ปีขึ้นไป ส่งผลต่อการเคลื่อนไหว การทรงตัว และคุณภาพชีวิตของทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแลอย่างชัดเจน
ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ สังคมสูงวัยสมบูรณ์ แล้ว ผู้สูงอายุเกิน 60 ปีมีมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด ทำให้ภาวะ สมองเสื่อม และโรคกลุ่มนี้กลายเป็นโจทย์ใหญ่ของระบบสาธารณสุขและครอบครัวไทยทุกบ้าน ไม่ใช่แค่บ้านของคนดังเท่านั้น
สำหรับคนในครอบครัว สิ่งสำคัญคือ
- สังเกตสัญญาณเริ่มต้น เช่น ลืมมากขึ้นผิดปกติ สับสนเวลา–สถานที่ บุคลิกเปลี่ยน
- พาผู้สูงอายุไปพบแพทย์เฉพาะทางด้านประสาทหรือเวชศาสตร์ผู้สูงอายุเพื่อตรวจคัดกรอง
- วางแผนการดูแลร่วมกันทั้งด้านสุขภาพ, จิตใจ, การเงิน และกฎหมาย (เช่น เรื่องผู้อนุบาล)
กรณีของมยุรฉัตร จึงเป็นมากกว่าข่าวเศร้า แต่เป็น “สัญญาณเตือน” ให้ลูกหลานไทยเตรียมตัวรับมือสังคมสูงวัยอย่างมีสติและมีข้อมูลในมือ
เส้นทางอารมณ์ของ “แม่จิ๋ม” จากวันสูญเสียสามี จนถึงวันที่โลกในความทรงจำเลือนราง
ก่อนหน้านี้ มยุรฉัตรเคยให้สัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์ ว่าหลังจากสูญเสียสามี เธอเคยรู้สึก “เสียศูนย์” ชีวิตไปถึงหนึ่งปี จำอะไรไม่ได้หลายอย่าง รู้สึกเหมือนพื้นฐานของชีวิตสั่นคลอนอย่างแรง แม้ตอนนั้นยังไม่เข้าสู่ภาวะสมองเสื่อมเต็มตัว แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่า “จุดเปลี่ยนในชีวิต” อย่างการสูญเสียคนรัก สามารถกระทบทั้งสภาพจิตใจและร่างกายของคนเราได้มากแค่ไหน
เมื่อเวลาผ่านไป อาการป่วยด้านสมองเริ่มชัดขึ้น ทั้งจากอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน จนถึงวันที่ศาลต้องเข้ามามีบทบาท เพื่อให้โครงสร้างการดูแลชัดเจนและมั่นคงในระยะยาว นี่คือ “ศึกใหญ่ปลายชีวิต” ที่ไม่ได้สู้ด้วยสปอตไลต์ แต่สู้ด้วยการดูแลจากคนในครอบครัวและระบบกฎหมายที่ถูกออกแบบมารองรับ
สิ่งที่สังคมควรถอดบทเรียนจากเคส “มยุรฉัตร”
บ้านกีฬา มองว่ากรณีของมยุรฉัตร ให้บทเรียนสำคัญหลายข้อกับสังคมไทย
- ชื่อเสียง–เงินทอง ไม่ได้กันเราให้พ้นจากโรคของวัยชรา
ไม่ว่าคุณจะเป็นคนธรรมดาหรือซูเปอร์สตาร์ โรคสมองเสื่อมและโรคทางระบบประสาทก็ยังเป็นความเสี่ยงที่ทุกคนต้องเผชิญเมื่ออายุเพิ่มขึ้น - ครอบครัวคือด่านแรกของการดูแล
ลูกหลานคือคนที่สังเกตอาการเปลี่ยนแปลงได้ก่อนใคร และเป็นคนแรกที่ต้องตัดสินใจว่าจะพาไปหาหมอเมื่อไหร่ จะจัดระบบการดูแลอย่างไร - กฎหมายไม่ได้มีไว้ทำให้ใครเสียหน้า แต่มีไว้ปกป้อง
สถานะ “คนไร้ความสามารถ” และการตั้ง “ผู้อนุบาล” คือเครื่องมือทางกฎหมายที่ช่วยคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ป่วย ไม่ใช่ตราบาป หากเข้าใจหลักการ ก็จะมองเห็นด้านที่เป็น “การโอบอุ้ม” มากกว่าการ “ผลักออกไป” - เตรียมตัวตั้งแต่วันนี้ดีกว่าวิ่งแก้ปัญหาทีหลัง
ทั้งแผนสุขภาพ, แผนการเงิน, เอกสารสำคัญ และการพูดคุยกันในครอบครัวเรื่องการดูแลในวันที่ป่วย คือสิ่งที่ควรเริ่มคิดตั้งแต่ยังแข็งแรง ไม่ใช่รอให้ถึงวันที่จำอะไรไม่ได้แล้วค่อยหาทาง

สรุป: ตำนานยังเป็นตำนาน – แม้ศาลจะสั่งว่า “ไร้ความสามารถ” แต่คุณค่าชีวิตไม่เคยหาย
สำหรับแฟนละครและวงการบันเทิงไทย ชื่อนี้ยังไงก็ลบไม่ออกจากความทรงจำ – “จิ๋ม มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช” คือคนที่สร้างทั้งผลงานระดับคลาสสิก ปั้นนักแสดงหลายรุ่น และส่งไม้ต่อให้ลูกๆ เดินต่อบนถนนสายบันเทิงอย่างสง่างาม
วันนี้ แม้สมองและร่างกายของเธอจะไม่แข็งแรงเหมือนเดิม ศาลจะต้องเข้ามาระบุสถานะทางกฎหมายว่าเป็น “คนไร้ความสามารถ” แต่ในสายตาแฟนละครและคนทำงานในวงการ มยุรฉัตรยังคงเป็น “คนเต็มไปด้วยความหมาย” – เต็มไปด้วยผลงาน เต็มไปด้วยความทรงจำ และเต็มไปด้วยมรดกทางศิลปะการแสดงที่ส่งต่อให้คนทั้งประเทศ
บ้านกีฬา ขอส่งกำลังใจให้ครอบครัวของมยุรฉัตร รวมถึงทุกครอบครัวที่กำลังดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมอยู่ในตอนนี้ คุณไม่ได้สู้คนเดียว และการเข้าใจกฎหมาย สุขภาพ และการดูแลผู้สูงอายุอย่างรอบด้าน คือก้าวสำคัญที่ทำให้ทุกคนผ่านศึกนี้ไปด้วยกันได้อย่างมั่นคง
แฟนข่าวที่ไม่อยากพลาดทั้งข่าววงการบันเทิง–ข่าวสังคม–ข่าวกีฬา ติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา ได้ทุกวัน

