ค่ำคืนวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 แฟนบอลที่กำลังจะกดเข้าเว็บเช็ก บ้านผลบอล, เปิดสตรีมดูบอล, เข้าโซเชียล, หรือแม้แต่ถามคำถามกับ ChatGPT อยู่ดีๆ ก็เจอหน้าเออร์เรอร์เด้งใส่แบบงงๆ ทั้ง “Error 500”, “Connection timed out” หรือหน้าโลโก้ Cloudflare เต็มจอ โลกออนไลน์สะอึกพร้อมกันแบบไม่มีสัญญาณเตือน และชื่อที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในค่ำคืนนั้นก็คือ “Cloudflare”
คำถามคือ มันคือใคร? แค่บริการตัวเดียวล่ม ทำไมเว็บทั้งโลกถึงกระเทือนเหมือนเน็ตทั้งประเทศดับ วันนี้ “บ้านกีฬา” จะพาไปแกะให้ครบ ตั้งแต่ตัวตนของ Cloudflare, เบื้องหลังเหตุ ระบบล่ม ครั้งใหญ่ ไปจนถึงบทเรียนที่ทั้งคนเล่นเน็ตและเจ้าของเว็บควรรู้เอาไว้ยาวๆ

Cloudflare คืออะไร? ทำไมถึงแตะชีวิตเราแทบทุกวัน
ถ้าพูดง่ายๆ Cloudflare คือ “บอดี้การ์ด + คนส่งของด่วน + การ์ดสนาม” ของโลกเว็บยุคนี้ในตัวเดียวกัน มันเป็นทั้งบริการ Content Delivery Network (CDN), ระบบรักษาความปลอดภัยเว็บ, และเกราะกัน DDoS ที่ยืนคั่นกลางระหว่างเรากับเซิร์ฟเวอร์จริงของเว็บไซต์
เวลาเราพิมพ์ URL เข้าเว็บหนึ่งเว็บ แทนที่เราจะยิงตรงไปหาเซิร์ฟเวอร์เจ้าของเว็บ ระบบจะวนไปผ่าน Cloudflare ก่อน เพื่อเช็กว่า
- ทราฟฟิกนี้เป็น “คนจริง” หรือ “บอท”
- ปลอดภัยไหม มีพิรุธเหมือนบอทยิงถล่ม, แฮกเกอร์, หรือสคริปต์แปลกๆ หรือเปล่า
- แล้วค่อยส่งข้อมูลจากจุดที่ใกล้ที่สุดให้เรา เพื่อลดดีเลย์
ปัจจุบัน Cloudflare ถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ของโลกด้านความปลอดภัยเว็บไซต์และโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ต มีบริการตั้งแต่ CDN, Web Application Firewall, Zero Trust, ไปจนถึง DNS สาธารณะอย่าง 1.1.1.1 ที่หลายคนใช้แทน DNS ของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต เพราะเร็วกว่าหรือเสถียรกว่า ตามข้อมูลที่ถูกอ้างถึงบ่อยๆ มีเว็บระดับ 20% ของอินเทอร์เน็ตที่ “วิ่งผ่าน” เครือข่ายของ Cloudflare ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
พูดแบบบอลๆ คือ ถ้าอินเทอร์เน็ตทั้งใบคือ “ลีกใหญ่” Cloudflare ก็เหมือนบริษัทที่ดูแลสนาม, ระบบไฟ, ระบบตรวจแฟน, และประตูหมุนเข้าออกสนามจำนวนมหาศาล ถ้าระบบนี้เดี้ยงทีเดียว มันเลยไม่ใช่แค่ทีมเดียวเตะไม่ได้ แต่ทั้งลีกสะดุดพร้อมกัน
Cloudflare ทำอะไรให้เว็บเรา? มองผ่านแว่นสายเทคนิคแบบง่ายๆ
สิ่งที่ทำให้ Cloudflare กลายเป็นของต้องมีของเจ้าของเว็บยุคนี้ เพราะมันตอบโจทย์ทั้ง “ความเร็ว” และ “ความปลอดภัย” ในแพ็กเดียว
- CDN – กระจายคอนเทนต์ให้โหลดไวทั่วโลก
แทนที่ทุกคนจะต้องวิ่งไปขอรูป, วิดีโอ, ไฟล์ต่างๆ จากเซิร์ฟเวอร์หลักเพียงจุดเดียว Cloudflare จะก็อปปี้ไฟล์เหล่านั้นไปเก็บไว้ตามดาต้าเซ็นเตอร์ที่กระจายอยู่ทั่วโลก คนดูจากไทยก็รับจากโหนดใกล้ไทย คนดูจากยุโรปก็รับจากโหนดยุโรป ทำให้เว็บโหลดไวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด - Reverse Proxy – ยืนบังหน้าบ้านแทนเซิร์ฟเวอร์จริง
ผู้ใช้ยิงมาหา Cloudflare ก่อน จากนั้น Cloudflare ค่อยยิงไปถามเซิร์ฟเวอร์ต้นทางอีกรอบ ทำให้เจ้าของเว็บสามารถซ่อน IP จริง ลดโอกาสโดนยิงตรงๆ - กรองบอท กรองบุก – เกราะป้องกันเว็บยุคโดนยิงถล่มเป็นเรื่องปกติ
Cloudflare ใช้ระบบ Machine Learning วิเคราะห์ทราฟฟิก ว่าสิ่งที่ยิงมาคือคน, บอทดี, หรือบอทเลว จากนั้นค่อยตัดสินใจว่าจะให้ผ่าน, ให้ทำแคปชา, หรือบล็อกทิ้งไปเลย - บริการเสริมยิบย่อยแต่โคตรสำคัญ
ตั้งแต่ระบบ Zero Trust ให้พนักงานองค์กรเข้าใช้งานระบบภายใน, VPN อย่าง WARP, Turnstile ที่มาแทน CAPTCHA ฯลฯ ทั้งหมดนี้คือชั้นป้องกันที่ซ้อนทับอยู่ในเส้นทางเดียวกัน
ฟังดูเท่มาก แต่ก็แปลว่า… ถ้า “ชั้นกลาง” นี้เดี้ยง ทราฟฟิกจำนวนมหาศาลที่เคยผ่านอย่างลื่นๆ จะสะดุดพร้อมกันทั่วโลก

เบื้องหลังคืนโกลาหล 18 พ.ย. 2568: จุดเริ่มจากไฟล์เดียว
ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 เวลา 11:20 น. ตามเวลา UTC (ราว 18:20 น. เวลาไทย) Cloudflare เริ่มพบข้อผิดปกติในเครือข่ายของตัวเอง ปริมาณเออร์เรอร์รหัส 5xx พุ่งสูงแบบผิดปกติ ผู้ใช้ทั่วไปเห็นเป็นหน้าเออร์เรอร์ของ Cloudflare หรือเว็บโหลดไม่ขึ้น ทั้งบนเว็บไซต์และแอปที่พึ่งพาเครือข่ายของบริษัท
บริการยอดนิยมอย่าง X, ChatGPT, Spotify, ร้านค้าออนไลน์อย่าง Shopify, รวมถึงเว็บข่าว, เว็บเกม และบริการอีกเป็นกองจำนวนมากเริ่มมีปัญหาเข้าถึงไม่ได้ หรือช้าจนใช้งานแทบไม่ได้ พร้อมกับที่เว็บอย่าง Downdetector ซึ่งคนมักใช้เช็กว่า “เว็บไหนล่ม” ก็เดี้ยงไปกับเขาด้วย เพราะตัวมันเองก็พึ่งพา Cloudflare เช่นกัน
ตอนแรกทั้งผู้ใช้และแม้แต่ทีมงาน Cloudflare เองยังสงสัยว่ากำลังโดนยิง DDoS ขนาดยักษ์หรือไม่ เพราะอาการเหมือนโดนยิงจนระบบรับไม่ไหว แต่ในรายงานทางการทีหลัง Cloudflare ยืนยันว่า “ไม่ใช่การโจมตี, ไม่ใช่ปัญหา DNS, และไม่ใช่บั๊กจากระบบ AI ใหม่ แต่มาจากความผิดพลาดด้านการตั้งค่าข้างในล้วนๆ”
แล้วอะไรคือจุดเริ่ม?
- Cloudflare มีระบบจัดการบอท (Bot Management) ที่ใช้งานฐานข้อมูล ClickHouse เพื่อสร้าง “ไฟล์ฟีเจอร์” (feature file) เอาไว้ให้โมเดล Machine Learning ใช้ตัดสินใจว่าทราฟฟิกไหนคือบอท
- ก่อนเกิดเหตุไม่นาน มีการเปลี่ยนแปลงสิทธิการเข้าถึงในฐานข้อมูล ทำให้ query ตัวหนึ่งที่เคยดึงข้อมูลจากชุดเดียว กลับไปดึงข้อมูลซ้ำจากหลายชุด โดยไม่ได้ระบุฐานข้อมูลให้ชัด
- ผลลัพธ์คือไฟล์ฟีเจอร์ที่ถูกสร้างขึ้นทุกๆ 5 นาที มี “แถวข้อมูลซ้ำ” เพิ่มเข้ามาเพียบ ทำให้ขนาดไฟล์ใหญ่กว่าที่ซอฟต์แวร์ฝั่งพร็อกซีคาดไว้มาก
- เมื่อไฟล์ใหญ่ทะลุเพดาน ซอฟต์แวร์ที่อ่านไฟล์นี้ก็ล้ม แล้วพอไฟล์นี้ถูกกระจายไปทั่วเครือข่าย เครื่องจำนวนมากที่ใช้ไฟล์เดียวกันก็เริ่มเดี้ยงตามเป็นโดมิโน
ที่โหดคือ query ตัวเดิมจะรันทุก 5 นาที แล้วแต่ดวงว่าจะไปชนโหนดที่อัปเดตสิทธิ์ไปแล้วหรือยัง ทำให้บางช่วงเครือข่ายเหมือนฟื้นขึ้นมาชั่วคราว ก่อนจะล้มอีกรอบ เหมือนนักบอลที่วิ่งๆ อยู่แล้วเป็นลมล้มกลางสนามแบบเดาไม่ได้ว่าจะล้มเมื่อไหร่
ไม่ใช่แค่ CDN ล่ม แต่ “เส้นเลือดหลักของโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ต” สะดุด
จุดสำคัญคือเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้กระทบแค่ชั้น CDN ธรรมดา แต่ไปโดนถึง “แกนกลาง” ที่คอยรับ-ส่งทราฟฟิกให้บริการหลายตัว เช่น Bot Management, Turnstile, Dashboard, Access ฯลฯ ทำให้ทั้งการเข้าเว็บปกติและการล็อกอินหลังบ้านของลูกค้า Cloudflare เองใช้งานไม่ได้ในช่วงหนึ่ง
บางเว็บพังหนักเพราะตั้ง firewall ให้ “รับเฉพาะ IP ของ Cloudflare” เพื่อกันบอทและแฮกเกอร์ พอ Cloudflare เดี้ยง การยิงตรงเข้า origin เลยทำไม่ได้ แม้เซิร์ฟเวอร์จริงจะยังปกติอยู่ แต่ก็เหมือนสนามเปิดไฟอยู่เต็มที่ แต่ปิดประตูทุกด้าน คนดูเข้ามาไม่ได้สักคน
Cloudflare เองต้องวิ่งแก้เกมหลายทางพร้อมกัน ตั้งแต่
- หยุดสร้างไฟล์ฟีเจอร์เวอร์ชันเสีย
- กลิ้งเอาไฟล์เวอร์ชันที่ดีและเล็กกว่ากลับไปใช้
- ปรับระบบให้อ่านไฟล์คอนฟิกแบบตรวจสอบขนาดและความถูกต้องเข้มขึ้น
- ไล่รีสตาร์ตพร็อกซีทั่วโลก และค่อยๆ ให้ทราฟฟิกกลับมาวิ่งตามปกติ
ตามรายงานของ Cloudflare เหตุการณ์เริ่มดีขึ้นชัดเจนราว 14:30 UTC และทุกระบบกลับมาปกติเต็มรูปแบบประมาณ 17:06 UTC รวมเวลาโกลาหลราว 3–4 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็น เหตุล่มครั้งใหญ่ที่สุดของ Cloudflare ในรอบหลายปี

ทำไมเว็บทั่วโลกถึงล่มตาม Cloudflare? เข้าใจ “จุดล้มเดียว” ของโลกออนไลน์ยุคนี้
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้คำว่า “โครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ต” ถูกพูดถึงหนักมาก เพราะมันโชว์ให้เห็นว่า โลกออนไลน์ยุคปัจจุบัน “รวมศูนย์” อยู่กับผู้เล่นรายใหญ่ไม่กี่ราย — จะป้องกัน DDoS ก็ต้องพึ่ง Cloudflare, จะรันเว็บก็ไปลง AWS หรือ Azure, จะเก็บไฟล์ก็ใช้ CDN เจ้าใหญ่ๆ เหมือนๆ กัน
ผลก็คือ ถ้าเจ้าใดเจ้าหนึ่งล้มพร้อมกัน:
- เว็บที่ใช้ Cloudflare เป็นเกราะหน้าบ้าน ก็จะล่มตามทันที
- แอปมือถือจำนวนมากที่ยิงไปหลังบ้านผ่าน Cloudflare ก็เดี้ยง
- บริการที่ใช้ Turnstile หรือระบบยืนยันตัวตนของ Cloudflare ก็พังไปด้วย
- บางบริษัทที่ตั้ง policy ให้เข้าระบบได้เฉพาะผ่าน Cloudflare Access ก็ล็อกอินไม่ได้ทั้งองค์กร
นี่คือสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเน็ตเวิร์กบางรายมองว่า Cloudflare กลายเป็น “จุดล้มเดียวที่ใหญ่ที่สุดจุดหนึ่งของอินเทอร์เน็ตยุคนี้” ถ้าพังที ระบบตามกันล้มเหมือนไฟดับทั้งโซนสนาม ไม่ใช่ดับเฉพาะโคมเดียว
บทเรียนสำหรับเจ้าของเว็บไทย: อย่าเอาชีวิตทั้งเว็บไปผูกกับใครคนเดียว
สำหรับคนทำเว็บ, เว็บข่าว, เว็บกีฬา, เว็บอีคอมเมิร์ซ หรือแม้แต่เว็บเล็กๆ ก็มีบทเรียนเต็มๆ จากเหตุการณ์นี้ที่ควรคิดเผื่อในระยะยาว
- ใช้ Cloudflare ได้ แต่ต้องวางแผน “หนีออกได้”
- อย่าล็อกไฟร์วอลให้รับเฉพาะ IP Cloudflare แบบไม่มีแผนสำรอง
- ควรมีช่องทางเข้าถึง origin โดยตรงในยามฉุกเฉิน (อย่างน้อยสำหรับทีมงาน)
- พิจารณา multi-CDN สำหรับเว็บที่ critical
เว็บใหญ่ระดับโลกบางราย ใช้มากกว่าหนึ่ง CDN เพื่อสลับทราฟฟิกในกรณีที่รายใดรายหนึ่งล่ม แม้จะซับซ้อนขึ้นแต่ช่วยกระจายความเสี่ยง - ติดตาม Status Page เป็นนิสัย
ทั้ง Cloudflare, AWS, Azure, และผู้ให้บริการรายใหญ่มีหน้า Status ที่รายงานปัญหาแบบเรียลไทม์ อย่าโทษเน็ตบ้านหรือผู้ให้บริการรายย่อยทันทีทุกครั้ง ลองเช็กแหล่งข้อมูลเหล่านี้ควบคู่ไปด้วย - ทดสอบแผนรับมือก่อนจะสาย
ไม่ต่างจากการซ้อมหนีไฟของสนามกีฬา ระบบหลังบ้านก็ควรมี “ซ้อมสลับระบบ” หรืออย่างน้อยขอให้ทีมรู้กันว่า ถ้า Cloudflare ล่มหนักๆ ขั้นตอนแรกที่ต้องทำคืออะไร
แล้วสำหรับคนเล่นเน็ต-สายดูบอลล่ะ? ต้องทำตัวยังไงเวลาเว็บเดี้ยงยกแผง
ในมุมคนใช้งานทั่วไปที่โดนลูกหลงจากเหตุการณ์แบบนี้ สิ่งที่พอทำได้คือ
- ลองเช็กผ่านช่องทางอื่น เช่น แอปคนละตัว, เว็บเวอร์ชันมือถือ/เดสก์ท็อป
- ใช้เว็บเช็กสถานะอย่าง Downdetector (ถ้ามันยังไม่ล่มไปด้วย) หรือดูแฮชแท็กใน X ว่าคนอื่นเจอปัญหาเหมือนกันไหม
- ไม่ต้องรีบเปลี่ยนรหัส, รีเซ็ตเครื่อง หรือโทษเน็ตบ้านทุกกรณี เพราะหลายครั้งปัญหาอยู่ที่ “กลางทาง” อย่าง Cloudflare หรือผู้ให้บริการรายใหญ่ ไม่ใช่ที่ตัวเรา
สำคัญสุดคือ เวลาจะดูบอล, ดูสตรีม, หรือเข้าเว็บสำคัญ แนะนำให้ใช้ช่องทางที่ได้รับสิทธิ์ถูกต้องและมีทีมเทคนิคคอยดูแลจริงจัง เพราะต่อให้มีเหตุล่มใหญ่ ผู้ให้บริการเหล่านี้ก็มักฟื้นตัวได้เร็วกว่าเว็บเถื่อนที่ไม่มีใครดูแล

Cloudflare ยัง “จำเป็น” อยู่ไหมหลังล่มครั้งใหญ่?
แม้เหตุการณ์นี้จะทำให้หลายคนตั้งคำถาม แต่ความจริงคือ จุดเด่นของ Cloudflare ก็ยังชัดเจนเหมือนเดิม
- ป้องกันการโจมตีระดับมหาศาลที่เว็บเดี่ยวๆ รับไม่ไหว
- ช่วยให้เว็บโหลดเร็วขึ้นสำหรับผู้ใช้ทั่วโลก
- มีบริการเสริมด้านความปลอดภัยและ Zero Trust ที่ครบเครื่องสำหรับองค์กร
Cloudflare ก็รับผิดชอบเต็มๆ ออกมาอธิบาย root cause แบบละเอียด และประกาศชุดมาตรการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดซ้ำ เช่น ตรวจสอบไฟล์คอนฟิกเข้มข้นขึ้น, ปรับเพดานและเงื่อนไขของซอฟต์แวร์ฝั่งพร็อกซี, และเพิ่มกระบวนการเทสก่อนปล่อยของจริง ซึ่งในโลกเทคโนโลยี สิ่งสำคัญไม่ใช่ “จะไม่ล่มเลย” แต่อยู่ที่ “ล่มแล้วเรียนรู้อะไร และไม่พลาดแบบเดิมอีกไหม”
สำหรับ “บ้านกีฬา” มองแบบคนดูบอลก็คือ ต่อให้ผู้รักษาประตูพลาดครั้งใหญ่จนทีมเสียประตูทั้งสนามโห่ แต่ถ้ากลับมาเก็บคลีนชีตยาวๆ แก้จุดอ่อนให้หายไปจริง มันก็ยังมีเหตุผลให้ทีมเลือกใช้งานต่อ
สรุป: เหตุล่มที่สะท้อนความเปราะบางของโลกออนไลน์ยุครวมศูนย์
เหตุการณ์ Cloudflare ล่ม วันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ไม่ใช่แค่ “เว็บเข้าไม่ได้ไม่กี่ชั่วโมงแล้วก็จบ” แต่มันคือภาพสะท้อนชัดๆ ว่า อินเทอร์เน็ตยุคนี้ฝากความหวังไว้กับโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทไม่กี่รายมากแค่ไหน การล้มเพียงครั้งเดียวเลยสะเทือนตั้งแต่เว็บข่าว, แพลตฟอร์มโซเชียล, ระบบ AI, อีคอมเมิร์ซ ไปจนถึงเว็บเล็กๆ ที่ไปพึ่งพา Cloudflare เพื่อความเร็วและ ความปลอดภัยเว็บไซต์
สุดท้าย ไม่ว่าคุณจะเป็นแค่คนเล่นเน็ตสายอ่านข่าว, สายดูบอล, สายช็อปออนไลน์ หรือเป็นเจ้าของเว็บเอง เหตุการณ์ครั้งนี้คือสัญญาณเตือนให้ทุกคนรู้ว่า หลังคำว่า “โหลดหน้าเว็บไม่กี่วินาที” มีเทคโนโลยีซับซ้อนระดับโลกกำลังวิ่งรับส่งกันอย่างบ้าคลั่งอยู่ตลอดเวลา
และถ้าไม่อยากพลาดทั้งข่าวเทคโนโลยี, ข่าวบอล, และ ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ที่กระทบชีวิตสายออนไลน์แบบนี้
อย่าลืมติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา

