พอพูดคำว่า “กฎหมายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่” หลายคนอาจคิดแค่ว่า แค่เรื่องเวลา “ขายเหล้า–เบียร์” แต่ความจริงนี่คือเกมใหญ่ระดับชาติ ที่เกี่ยวตั้งแต่ร้านข้าวหน้าโครงการ ไปจนถึงเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว สุขภาพ และตัวคุณเองแบบเต็ม ๆ
พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ประกาศในราชกิจจาฯ วันที่ 9 กันยายน 2568 และเริ่มมีผลบังคับใช้จริงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมจาก พ.ร.บ.ปี 2551 เพื่อให้ “ทันยุค ทันพฤติกรรมการดื่ม” แต่คำถามคือ…มันช่วย “บาลานซ์” ระหว่างเศรษฐกิจ–สุขภาพได้จริง หรือกำลังเปิดเกมเสี่ยงแบบปล่อยให้คนเล่นเพรสซิ่งทั้งสนามโดยไม่มีตัวสำรอง?
บ้านกีฬา ขอพาไปไล่อ่านแบบเข้าใจง่าย เห็นภาพชัด และใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน

พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2568 เปลี่ยนอะไรบ้างในภาพใหญ่
สาระสำคัญของ กฎหมายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ ไม่ได้มีแค่เรื่อง “เวลาขาย” อย่างที่คนแห่แชร์ในโซเชียล แต่มีประเด็นหลัก ๆ ที่ต้องรู้ดังนี้
- นิยาม “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” กว้างขึ้น
จากเดิมที่ผูกกับคำว่า “สุรา” ตามกฎหมายภาษี ตอนนี้คำว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ครอบคลุมทั้ง- สุราตามกฎหมายเครื่องดื่มผสมค็อกเทล/มิกซ์ที่ต้องผสมก่อนดื่มของเหลวที่เมื่อผสมแล้วมีลักษณะดื่มได้เหมือนน้ำสุรา
แต่ ไม่รวม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ไม่เกิน 0.5 ดีกรี และบางกลุ่มเช่นผลิตภัณฑ์สมุนไพรหรือวัตถุออกฤทธิ์ที่กฎหมายอื่นคุมอยู่แล้ว
- สุราตามกฎหมายเครื่องดื่มผสมค็อกเทล/มิกซ์ที่ต้องผสมก่อนดื่มของเหลวที่เมื่อผสมแล้วมีลักษณะดื่มได้เหมือนน้ำสุรา
- ยกเลิกประกาศเก่า–คำสั่งยุคคณะปฏิวัติ/คสช. บางส่วน
กฎหมายใหม่ยกเลิก- ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 พ.ศ. 2515
- คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 22/2558 ข้อ 6
เพื่อจัดระบบใหม่ให้สอดคล้องกับโครงสร้างปัจจุบัน และเปิดทางให้ “กฎหมายลูก–ประกาศใหม่” เข้ามาแทนที่อย่างเป็นระบบ
- กระจายอำนาจลงจังหวัดมากขึ้น
จังหวัดจะมี “คณะกรรมการ” ที่มีทั้ง- ข้าราชการส่วนภูมิภาค
- อปท.
- ภาคธุรกิจ–ภาคสังคม
มาร่วมกันกำหนดมาตรการในพื้นที่ เช่น เวลา–โซนนิ่ง–กติกาคุมผลกระทบ ซึ่งเปิดช่องให้จังหวัดท่องเที่ยวบางแห่งผ่อนคลายกว่า ในขณะที่จังหวัดมุสลิมหนาแน่นอาจเข้มขึ้นได้
- เปิดทางให้ “สุราชุมชน–ผู้ประกอบการรายย่อย” สื่อสารได้มากขึ้น
แนวคิดคือให้ของท้องถิ่นมีพื้นที่หายใจ มีช่องทางประชาสัมพันธ์ภายใต้กรอบควบคุม ไม่ใช่ถูกบล็อกจนแข่งกับทุนใหญ่ไม่ได้เลย
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า พ.ร.บ.ใหม่พยายาม “แต่งเกมรุก–เกมรับ” ให้สมดุลขึ้นบนกระดานใหญ่ ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม แต่ในสนามจริง…ยังมีคำถามอีกเพียบ

สรุปเวลาขาย–เวลาห้ามขาย–เวลาห้ามดื่มในร้าน แบบเข้าใจง่าย
หนึ่งในเรื่องที่คนงงหนักที่สุดคือ “สรุปแล้วดื่มได้–ขายได้ตอนไหนแน่?” บ้านกีฬา ขอสรุปตรงประเด็นแบบสายดื่มต้องจำให้ขึ้นใจ
1. เวลาห้ามขาย (ภาพรวมทั้งประเทศ)
ตามประกาศที่ใช้อยู่ กำหนดประมาณว่า ขายได้ 2 ช่วงใหญ่ คือ
- ขายได้: 11.00–14.00 น.
- ขายได้: 17.00–24.00 น. (เที่ยงคืน)
ช่วงที่ ห้ามขาย คือ
- 00.00–11.00 น.
- 14.00–17.00 น.
โดยยังมี ข้อยกเว้น กรณีสถานบริการบางประเภท โรงแรม หรือพื้นที่พิเศษที่มีกฎเฉพาะ (เช่น โซนท่องเที่ยว/อีเวนต์ที่ได้รับอนุญาต) ซึ่งต้องดูประกาศลูกในแต่ละพื้นที่อีกที
สำคัญมาก: ข่าวที่บอกว่า “ปลดล็อกขายได้ 14.00–17.00 น. แล้ว” ทางหน่วยงานรัฐออกมาชี้แล้วว่าเป็น ข่าวปลอม ยังไม่มีการปลดล็อกทั่วไปแบบนั้น
2. จุดเปลี่ยนของ พ.ร.บ.ใหม่: “ห้ามดื่มในร้านนอกเวลาขาย”
ของใหม่ที่กระทบคนทั่วไปเต็ม ๆ คือ ห้ามนั่งดื่มในสถานที่ขาย/ให้บริการ เพื่อการค้า ในเวลาห้ามขาย
กฎหมายใหม่กำหนดว่า ถ้าเป็น
- ร้านอาหาร
- ร้านเหล้า
- บาร์ ผับ ที่ให้บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เชิงพาณิชย์
ห้ามมีการ “บริโภค” เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้าน ในช่วงเวลาห้ามขาย คือ
- 00.00–11.00 น.
- 14.00–17.00 น.
ฝ่าฝืน = มีความผิดทางพินัย ถูกปรับได้ไม่เกิน 10,000 บาท โดยเฉพาะตัว “คนดื่ม” ที่นั่งจิบต่อหลังเวลาเข้าเคอร์ฟิว
ภาพง่าย ๆ คือ
- ถ้าเที่ยงคืนปุ๊บ แล้วคุณยังนั่ง “จิบต่อในร้าน” แม้เหลือครึ่งแก้ว ก็มีโอกาสเข้าข่ายผิด
- เช่นเดียวกับช่วง บ่าย 2–5 โมงเย็น นั่งกินเบียร์ในร้านอาหารก็เสี่ยงโดนปรับได้
3. ดื่มที่ไหน–อย่างไร “ไม่เสี่ยงผิดกฎหมายข้อนี้”
ในเชิงหลักการ กฎหมายเล็งเป้าที่
- “สถานที่ขาย/ให้บริการเพื่อการค้า”
ถ้าคุณ
- ซื้อกลับไปดื่มที่บ้าน
- ดื่มในสถานที่ส่วนบุคคลที่ไม่ใช่ร้าน/สถานบริการ
จะไม่เข้าข่ายผิดมาตรานี้ (แต่ยังต้องระวังกฎหมายอื่น เช่น เมาแล้วขับ, เมาแล้วก่อเหตุ ฯลฯ อยู่ดี)
สรุปแบบแฟนบอลจำง่าย:
ในร้าน = ต้องดูเวลา
นอกร้าน = ต้องดูสติ
เกมเศรษฐกิจ: ดื่มเยอะ–เงินสะพัดจริง แต่ผลิตภาพประเทศอาจถดถอย
หนึ่งในเหตุผลหลักที่ถูกหยิบมาเชียร์การคลายล็อก คือ “ช่วยเศรษฐกิจ–ช่วยการท่องเที่ยว–ช่วยการจ้างงาน”
งานวิจัยของ ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ใช้ข้อมูลปี 1990–2019 กลับชี้ให้เห็นอีกด้านหนึ่งว่า
- ตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทยมีขนาดใหญ่สุดในอาเซียน
- ปริมาณการดื่มต่อหัวเพิ่มจากราว 5 ลิตร/คน/ปี ขึ้นมาเกิน 7 ลิตร/คน/ปี
- เมื่อการดื่มโดยรวม รวมถึง เบียร์–สุราขาว–สุรากลั่น เพิ่มขึ้น กลับพบว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจระยะยาวลดลง
เหตุผลสำคัญคือ
- สุขภาพแย่ลง ทำให้ ขาดงานบ่อย–ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
- เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ดึงผลิตภาพแรงงานหายออกจากระบบ
- เงินและเวลาที่ใช้ไปกับการดื่ม คือ ต้นทุนเสียโอกาส ที่ควรไปอยู่กับการศึกษา การเลี้ยงดูลูก หรือการลงทุนพัฒนาทักษะ
ฝั่ง WHO เองก็จัด นโยบายคุมแอลกอฮอล์ เช่น
- การขึ้นภาษี
- การจำกัดเวลา–สถานที่ขาย
- การจำกัดโฆษณา
เป็น “Best Buys” หรือนโยบายคุ้มทุนสูงสุดในการลดโรคไม่ติดต่อ (NCDs) เพราะช่วยทั้งลดการดื่ม และลดค่าใช้จ่ายสุขภาพระยะยาวในเวลาเดียวกัน
พูดภาษาบอลง่าย ๆ คือ เศรษฐกิจเหมือนสโมสรฟุตบอล ถ้าเอาแต่เร่งเกมรุกในวันนี้ด้วยยอดขายจากน้ำเมา อาจต้องจ่ายราคาในระยะยาวด้วยนักเตะเจ็บยาวทั้งทีม

ภาพใหญ่ด้านสุขภาพ: NCDs, มะเร็ง, ตับพัง และอุบัติเหตุบนถนน
การดื่มแอลกอฮอล์ไม่ใช่แค่เรื่อง “เมา–ไม่เมา” แต่คือหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงใหญ่ของ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น
- โรคหัวใจและหลอดเลือด
- เบาหวาน
- โรคตับ
- มะเร็งหลายชนิด (หลอดอาหาร กระเพาะ ลำไส้ ตับ ตับอ่อน เต้านม ฯลฯ)
ข้อมูลสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายล่าสุด พบว่า
- ความชุกของ การดื่มหนัก อยู่ราว 12–13% สูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาค
- การตรวจค่าตับ (เอนไซม์ GGT) พบว่า
- คนไม่ดื่ม มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด
- กลุ่ม ดื่มระดับเสี่ยง–ระดับอันตราย–ติดสุรา ค่าตับพุ่งขึ้นชัดเจน
- ยิ่งดื่มเยอะ–ดื่มบ่อย เซลล์ตับยิ่งถูกทำลาย
เมื่อดูสัดส่วนคนอายุ 15 ปีขึ้นไปที่ “เอนไซม์ตับผิดปกติ”
- ไม่ดื่มสุรา: ประมาณ 13%
- ดื่มระดับเสี่ยง: เกือบครึ่ง
- ดื่มระดับอันตราย–ติดสุรา: มากกว่าครึ่ง
หมายความว่า คนดื่มจำนวนมากกำลัง “เดินอยู่บนเส้นบาง ๆ ระหว่างปกติกับโรคเรื้อรัง” โดยที่ตัวเองอาจยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
เมาแล้วขับ–บาดเจ็บทางถนน– SDGs ที่ไทยยังสอบตก
ในปีที่การควบคุมยังเข้มกว่านี้ ข้อมูลชี้ว่าไทยมี
- การบริโภคแอลกอฮอล์ราว 8 ลิตรต่อคนต่อปี
- ผู้เสียชีวิตบนถนน เกือบ 17,000 รายต่อปี
- ในจำนวนนั้น ราว 2,400 ราย เกี่ยวข้องกับการดื่มแอลกอฮอล์ คิดเป็นประมาณ 14% ของการเสียชีวิตบนถนนทั้งหมด
ตัวเลขเหล่านี้เชื่อมตรงกับตัวชี้วัดด้าน ความปลอดภัยทางถนน ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมาย SDGs ที่ไทยยังทำได้ไม่ถึงเป้า
คำถามที่สังคมโยนกลับไปหากฎหมายใหม่คือ
เมื่อมีแนวโน้ม “คลายล็อก” หลายด้าน แล้วมาตรการกันชนเพื่อไม่ให้ “เมาแล้วตายเพิ่มบนถนน” พร้อมแค่ไหน?
เพราะต่อให้เศรษฐกิจขยับขึ้นไม่กี่เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าค่ารักษา–ชีวิตคน–คุณภาพแรงงานหายไปเป็นหมื่น ๆ ล้านต่อปี เกมนี้ก็อาจไม่คุ้มเลยในภาพรวม
ดราม่าจากหน้าร้าน: ทั้งนักท่องเที่ยว–ผู้ประกอบการเริ่มมึน
ฝั่งภาคธุรกิจร้านอาหาร–เครื่องดื่ม และภาคท่องเที่ยวเริ่มออกมาให้ความเห็นว่ากฎหมายใหม่นี้
- สร้าง ความสับสน ให้ทั้งคนขายและนักท่องเที่ยว
- ลูกค้าต่างชาติไม่เข้าใจว่าทำไมมีเบียร์อยู่บนโต๊ะ แต่ “ห้ามดื่ม” หลังเที่ยงคืนหรือช่วงบ่าย ทั้งที่ยังเหลือครึ่งขวด
- มีข่าวว่าบางประเทศ เช่น ออสเตรเลีย เริ่มออกคำเตือนนักท่องเที่ยวให้ระวังเรื่อง “กฎหมายแอลกอฮอล์ไทย” เพราะมีเวลาห้ามดื่มในร้านชัดเจน
ฝั่งผู้ประกอบการห่วงว่า
- ไฮซีซั่นปลายปี–ช่วงเทศกาลอาจโดนกระทบเต็ม ๆ
- นักท่องเที่ยวรู้สึกว่าข้อกำหนดซับซ้อนเกินไป อาจเลือกไปประเทศอื่นที่กติกาชัดและผ่อนคลายกว่า
อีกด้านหนึ่ง ฝั่งสาธารณสุขและภาคประชาสังคมก็ย้ำว่า
- คนไทยเสียโอกาสจาก “โรค–อุบัติเหตุ–ค่าใช้จ่ายสุขภาพ” มานาน ถ้าไม่ยกระดับมาตรการคุมจริงจัง ประเทศก็ยังแบกต้นทุนแอลกอฮอล์อยู่ดี
จะว่าไปมันคือ “เกมสองมิติ” ระหว่าง เงินหมุน–ชีวิตคน ที่รัฐบาลต้องกล้าตัดสินใจให้ชัด

มุมมองจาก WHO: นโยบายแอลกอฮอล์ที่ได้ทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจ
รายงานล่าสุดของ WHO ย้ำชัดว่า นโยบาย 3 แกนหลักด้านแอลกอฮอล์คือ
- ขึ้นภาษี–ทำให้แอลกอฮอล์แพงขึ้น
- จำกัดหรือแบนโฆษณา–สปอนเซอร์–โปรโมชัน
- จำกัดความพร้อมของการเข้าถึง เช่น เวลา–สถานที่ขาย
ถือเป็น “การลงทุนคุ้มค่า” ระดับต้น ๆ ของโลก เพราะ
- ลดการดื่ม
- ลดภาระโรค NCDs
- เพิ่มรายได้ภาครัฐจากภาษี
- ลดค่าใช้จ่ายรักษา และเพิ่มผลิตภาพแรงงานในระยะยาว
กฎหมายไทยฉบับใหม่จึงควรถูกตั้งคำถามว่า “เดินไปในทิศทางเดียวกับ Best Buys หรือสวนทาง?”
- ฝั่งหนึ่ง ขยายขอบเขตควบคุม–นิยามให้ครอบคลุมขึ้น
- แต่อีกฝั่งก็มีสัญญาณ “คลายล็อก” ให้ธุรกิจ–การท่องเที่ยว และเปิดช่องให้สื่อสารของ “สุราชุมชน” มากขึ้น
ขึ้นอยู่กับว่า “กฎหมายลูก–การบังคับใช้จริง” จะเอียงไปด้านไหนมากกว่า

คนดื่ม–คนขาย–คนทำงานท่องเที่ยว ควรปรับตัวยังไงในยุค พ.ร.บ.ใหม่
บ้านกีฬา ขอสรุปเช็กลิสต์แบบภาคสนาม
สำหรับสายดื่ม
- รู้เวลาให้ชัด
- ดื่มในร้านได้ช่วง 11.00–14.00 น. และ 17.00–24.00 น.
- นอกเหนือจากนั้น ถ้ายัง “นั่งแช่ในร้าน” มีสิทธิ์โดนปรับได้
- ถ้าจะต่อยาว
- ซื้อเก็บกลับบ้าน–ไปดื่มในที่ส่วนบุคคล อย่าเสี่ยงดื่มในร้านหลังเวลา
- เมาแล้วขับ = เกมจบ
- กฎหมายเมาแล้วขับยังเข้มเหมือนเดิม แถมด่านตรวจทำงานหนักขึ้นเรื่อย ๆ เพราะอุบัติเหตุยังสูง
สำหรับผู้ประกอบการร้านอาหาร–บาร์–ผับ
- ต้องเทรนพนักงานให้รู้เวลา “ห้ามดื่มในร้าน” ไม่ใช่แค่ห้ามขาย
- วางระบบเช็กบิล–เก็บแก้วก่อนเข้าเวลาห้าม เพื่อไม่ให้ทั้งร้านและลูกค้าโดนปรับไปพร้อมกัน
- ติดป้ายสื่อสารหลายภาษา โดยเฉพาะพื้นที่ท่องเที่ยว เพื่อป้องกันความไม่เข้าใจของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
สำหรับคนอ่านแบบแฟนกีฬา
คิดง่าย ๆ ว่า กฎหมายนี้คือแท็กติกใหม่ของทีมชาติ
- ถ้าบังคับใช้ดี มีมาตรการเสริม–สื่อสารชัด อาจช่วยลดเมาแล้วขับ–ลดโรค NCDs ได้จริง
- แต่ถ้าปล่อยให้สับสน ไม่มีตัวช่วยด้านข้อมูล–สังคม อาจกลายเป็น “กฎหมายสร้างช่องโหว่–เพิ่มงานตำรวจ–ทำเศรษฐกิจท่องเที่ยวสะดุด” แทน
มองไปข้างหน้า: จะดื่ม–จะเติบโต–จะปลอดภัย ต้องเดินไปด้วยกันให้ได้
สุดท้ายแล้ว กฎหมายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2568 ไม่ได้มีแค่คำว่า “ห้าม–อนุญาต” แต่สะท้อนวิธีที่ประเทศนี้มองตัวเองในระยะยาว
- เราอยากเป็นประเทศท่องเที่ยวที่สนุก แต่ไม่ทิ้งคนบนถนนไว้ข้างหลัง
- เราอยากให้ธุรกิจกลางคืนหายใจได้ แต่ไม่แลกกับเตียงไอซียูที่เต็มไปด้วยคนเมา
- เราอยากให้เศรษฐกิจโต แต่ไม่ใช่บนพื้นฐานแรงงานที่สุขภาพแย่ลงเรื่อย ๆ

หน้าที่ของรัฐคือจัดกติกาให้ “แฟร์และชัด”
หน้าที่ของธุรกิจคือเล่นตามกติกาอย่างมืออาชีพ
หน้าที่ของเราทุกคนคือ ดื่มอย่างมีสติ รู้สิทธิ–รู้หน้าที่ของตัวเอง
บ้านกีฬา เชื่อว่าถ้าวันหนึ่งเราคุยกันเรื่อง “เหล้า–เบียร์” ด้วยข้อมูลจริง ไม่ใช่อารมณ์อย่างเดียว เกมยาวของประเทศนี้จะเล่นง่ายขึ้นเยอะ
และถ้าอยากตามต่อว่า กฎหมายแอลกอฮอล์จะกระทบเศรษฐกิจ–ท่องเที่ยว–กีฬา–สังคมไทย ยังไงต่อไป อย่าลืม
ติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา

