
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 กลายเป็นเหตุการณ์สะเทือนใจและถือเป็นประวัติศาสตร์ของราชวงศ์อังกฤษ เมื่อ พระมหากษัตริย์ King Charles III ทรงเริ่มกระบวนการในการถอดถอนพระยศ “เจ้าชาย” ของ Prince Andrew พระอนุชา พร้อมทั้งมีคำสั่งให้ย้ายออกจากที่ประทับเดิม คือ Royal Lodge แห่งพระราชวังวินด์เซอร์ อย่างเป็นทางการ
เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การ “ปลดยศ” เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงจุดยืนของราชวงศ์อังกฤษต่อความเป็นธรรม ความรับผิดชอบ และการรักษาภาพลักษณ์สถาบันที่อยู่เหนือ timebound และ evergreen แนวโน้มสังคมอย่างชัดเจน
สิ่งที่เกิดขึ้น – รายละเอียดเหตุการณ์
- เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 สำนักพระราชวัง Buckingham Palace ออกแถลงการณ์ว่า King Charles III ทรง เริ่มกระบวนการอย่างเป็นทางการ เพื่อถอดถอนคำนำหน้า (Style), พระยศ (Titles) และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ (Honours) ของ Prince Andrew
- Prince Andrew จะถูกเรียกขานใหม่ว่า Andrew Mountbatten Windsor นับตั้งแต่นี้
- สัญญาเช่าที่ประทับ Royal Lodge ซึ่งเดิม Prince Andrew ถือครองภายใต้สัญญากับ Crown Estate ได้รับแจ้งให้ ยกเลิก และเขาจะต้องย้ายออกจากที่ประทับดังกล่าว
- แม้ Prince Andrew จะยังปฏิเสธข้อกล่าวหาที่มีต่อพระองค์อย่างต่อเนื่อง แต่สำนักพระราชวังระบุว่า “These censures are deemed necessary, notwithstanding the fact that he continues to deny the allegations against him.”

ทำไมเหตุการณ์นี้ถึงมีความหมายมาก
- ถือเป็นการตัดสินใจที่หายากในประวัติศาสตร์ราชวงศ์อังกฤษที่ “พระราชายืนยันตัดยศพระอนุชา” ในลักษณะที่งดงามแต่เด็ดขาด
- ส่งสัญญาณให้เห็นชัดว่า หากบุคคลภายในสถาบันราชวงศ์มีพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสาธารณะ หรือความน่าเชื่อถือของสถาบัน ก็จะไม่มีสิทธิพิเศษเหนือกฎหมายหรือเหนือความรับผิดชอบ
- เป็นกรณีศึกษาเชิง “ความรับผิดชอบทางสังคม” (social accountability) ในสถาบันที่ดูเหมือนเป็นนิรันดร์ ซึ่งทำให้ประเด็นนี้เชื่อมโยงกับ แนวคิด evergreen เช่น “อำนาจคู่กับความรับผิดชอบ” และ “สถาบันที่อยู่รอดต้องโปร่งใสต่อสาธารณะ”
เบื้องหลังสู่เหตุผลของการถอดยศ
- ปมหนึ่งคือ ความสัมพันธ์ของ Prince Andrew กับ Jeffrey Epstein อดีตนักการเงินผู้ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีค้าประเวณี ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของราชวงศ์อังกฤษอย่างรุนแรง
- ในบันทึกความทรงจำ Nobody’s Girl ของ Virginia Giuffre ที่เสียชีวิตก่อนเผยแพร่ ได้ระบุการกล่าวหาว่า Prince Andrew เคยล่วงละเมิดทางเพศเธอขณะยังเป็นวัยรุ่น
- นอกจากนี้ยังมีประเด็นด้านกฎหมายและรัฐศาสตร์ว่า การถอดยศจากราชวงศ์นั้นต้องอ้างอาศัยกระบวนการที่ซับซ้อนซึ่งรวมถึงพระราชบัญญัติหรือการใช้พระราชโองการ (royal warrants)

ผลที่เกิดขึ้นและสิ่งที่จะตามมา
- จากนี้ Prince Andrew จะ ไม่ได้รับพระยศ ‘เจ้าชาย’ (Prince) และความเป็น His Royal Highness อีกต่อไป โดยปฏิบัติการดังกล่าวเริ่มทันที
- แม้เขาจะยังคงเป็นลำดับที่ 8 ในการสืบราชบัลลังก์ (line of succession) แต่สถานะดังกล่าวจะสามารถถูกถอดได้โดยกฎหมายและขึ้นอยู่กับการตกลงของประเทศเครือจักรภพหลายประเทศ
- อีกด้านหนึ่ง เด็กหญิงพระธิดาอย่าง Princess Beatrice และ Princess Eugenie จะยังคงได้รับพระยศตามเดิม เนื่องจากกฎที่ตั้งไว้ภายใต้สมัย King George V ในปี 1917

บทเรียนสังคมที่เราอ่านได้จากเหตุการณ์
- “อำนาจ” หรือ “ยศ” ไม่ใช่สิ่งที่อยู่เหนือการตรวจสอบในสังคมสมัยใหม่ — เมื่อภาพลักษณ์สถาบันถูกกระทบ สังคมจะจับตามองและเรียกร้องความรับผิดชอบ
- สถาบันใดๆ ที่ต้องอยู่รอดในระยะยาว จำเป็นต้องสร้างความไว้วางใจกับสาธารณะ และปรับตัวเข้าสู่ค่านิยมร่วม (shared values) เช่น ความโปร่งใส, การเคารพสิทธิเสรีภาพ, การไม่มีอภิสิทธิ์เหนือกฎหมาย
- สำหรับประชาชนทั่วไป นี่คือการเตือนให้เรา ไม่อาศัยตำแหน่งยศ ให้เหนือความรับผิดชอบ — ไม่ว่าในวงการไหนก็ตาม
- หากเรามองในเชิง “สถาบัน” และ “การสืบทอด” ก็สะท้อนว่า legacy หรือ มรดก จะยืนยาวได้ ก็ต่อเมื่อ มี governance ที่เข้มแข็งและสอดคล้องกับยุคสมัย

สรุป
สิ่งที่ King Charles III ทำในครั้งนี้ คือการวางหมากใหญ่ในหมากเดียว — ถอดยศและให้พระอนุชาย้ายออกจากที่ประทับ อันเป็นภาพของการ “บ้านกีฬาราชสำนัก” ที่ไม่ใช่แค่กีฬาผาดโผน แต่คือเกมใหญ่ของอำนาจ ความรับผิดชอบ และภาพลักษณ์สถาบัน หากจะเปรียบเป็นสนามฟุตบอล ก็เหมือนทีมใหญ่ที่ตัดสินใจขายนักเตะซูเปอร์สตาร์ออก เพื่อรักษาโครงสร้างทีมและชื่อเสียงของสโมสร
ท้ายที่สุด เหตุการณ์นี้สอนเราว่า ไม่ว่ายศยืนยงเพียงใด แต่หากขาดความเชื่อถือ ความรับผิดชอบ และความโปร่งใส ก็ไม่มีวันอยู่ยาว “เกม” นี้ไม่ได้เล่นเฉพาะบนสนาม แต่เล่นในหัวใจผู้คนและสายตาสาธารณะ
ติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา

