พลอย เฌอมาลย์ เปิดใจสู้มะเร็งเต้านมระยะที่ 2 ชีวิตที่เกือบหล่นหุบเหว แต่กลับมายืนได้ด้วยพลังใจของผู้หญิงคนหนึ่ง

ดูบอลสด ดูบอลออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง

บ้านกีฬา—ขออนุญาตพาทุกคนก้าวเข้าไปเห็น “หัวใจที่แกร่ง” ของ พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ นักแสดงตัวท็อปของไทยที่เพิ่งออกมาเล่าความจริงอันเจ็บปวดว่าเธอถูกวินิจฉัยเป็น มะเร็งเต้านมระยะที่ 2 ช่วงต้นปีที่ผ่านมา เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ข่าวเลือดเย็นที่ดังแค่วันเดียว แต่คือบทเรียนชีวิตของผู้หญิงไทยทั้งประเทศ—เรื่องของการตรวจคัดกรอง การดูแลใจ และการกลับมารักตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่เคยรักคนอื่น

จุดเริ่มของพายุ: วันที่ร่างกายกระซิบเสียงเตือน

ก่อนหน้านี้หลายคนสังเกตว่า “พลอยหายไปไหน” เธอเงียบจากจอทีวีและงานอีเวนต์ ทั้งที่ปกติคิวแน่นจนแทบไม่มีวันว่าง กระทั่งเธอเล่าในรายการ Sisterhood Podcast ว่า “มรสุมชีวิต” โถมมาในเวลาเดียวกัน ทั้งเรื่องงาน เรื่องผู้จัดการ เรื่องใจ และเรื่องสุขภาพ—ทุกอย่างเกิดพร้อมกันจนแทบยืนไม่อยู่

เธอเข้าตรวจสุขภาพประจำปี พบ “ก้อนเนื้อ” ครั้งแรกหมอบอกลักษณะไม่น่ากังวล ให้ติดตามอาการ แต่ความเป็นคน “กลัวเข็ม” ทำให้เธอเลื่อนไปเกือบปีครึ่ง พอกลับมาตรวจอีกครั้ง ก้อนนั้นโตขึ้น ตรวจละเอียดพบว่า เต้านมซ้ายเป็นมะเร็งระยะที่ 2 ส่วนเต้านมขวาเป็นหินปูน ไม่ใช่มะเร็ง เธอผ่าตัดเก็บชิ้นเนื้อ ส่งตรวจชนิดของเซลล์ และพบว่าเป็น “Special Type” พร้อมมีสัญญาณลามต่อมน้ำเหลือง จึงต้องลุยขั้นตอนรักษาอย่างจริงจัง

แผนการรักษาที่ไม่มีเส้นทางลัด

เส้นทางของพลอยไม่ง่าย เธอเลือกแนวทาง ผ่าตัดแบบคว้านชิ้นเนื้อ (breast-conserving) เพื่อเก็บหน้าอกไว้ จากนั้นเข้าคิว ฉายแสง 25 ครั้ง ทำงานสัปดาห์ละ 5 วัน จนผิวหนังบริเวณหน้าอกไหม้ เจ็บแสบทุกครั้งที่ขยับตัว คุณหมอประเมินว่า “ยังไม่จำเป็นต้องใช้เคมีบำบัด” แต่ต้องรับประทาน ยาลดฮอร์โมนเอสโตรเจน ควบคู่กับการฉีดยาเพื่อลดโอกาสการกลับมาใหม่ของมะเร็ง ผลข้างเคียงโจมตีทั้งร่างกายและอารมณ์—น้ำหนักลดไป 13 กิโลในราว 3 เดือน ใจสวิง ปลายประสาทความรู้สึกแผ่วลง จนเธอเอ่ยว่ามีช่วงที่ “จำตัวเองไม่ได้”

แม้จะเจ็บปวด เธอยังจับพวงมาลัยชีวิตไว้แน่น—ปรับไลฟ์สไตล์ใหม่ เลิกอาหารแปรรูป ลดเนื้อแดง กลับไปออกกำลังกายสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 4 วัน ครั้งละ 2–3 ชั่วโมง น้ำหนักค่อย ๆ ฟื้นกลับมา +8 กิโล ตรวจสุขภาพล่าสุด “ปลอดภัย” แต่ยังคงกินยาและติดตามอาการตามแพทย์นัดอย่างเคร่งครัด

“รักตัวเองให้มากเท่าที่เคยรักคนอื่น”

นี่คือประโยคสั้น ๆ ที่สั่นทั้งวงการ เธอยอมรับว่าเคย “แบกรักให้คนอื่น” จนลืมตัวเอง พอโรคมาเคาะประตูถึงได้หันหน้าเข้าหาตัวเองเต็ม ๆ เธอให้เวลากับความเศร้า ไม่ฝืนให้ “เข้มแข็งจอมปลอม” แต่ค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างจริงใจ ด้วยแรงเชียร์จากคนรอบข้างและการบำบัดตัวเองอย่างเป็นระบบ “ไม่ต้องแข็งแรงตลอดเวลา แค่บอกตัวเองว่าเดี๋ยวเราจะดีขึ้น” พลอยกล่าว และนั่นคือพลังที่เธอคืนให้ผู้หญิงทุกคน

คีย์เวิร์ดชีวิตที่สาว ๆ ควรรู้: มะเร็งเต้านม ตรวจยังไง เสี่ยงแค่ไหน ป้องกันได้หรือไม่

เพื่อให้เรื่องของพลอยไม่จบแค่ความสะเทือนใจ เราขอรวบ “สาระจำเป็น” ที่ผู้หญิงไทยควรเก็บเข้ากระเป๋า

1) สัญญาณเตือนที่ไม่ควรเมิน

ก้อนหรือบวมผิดปกติในเต้านม/รักแร้ ผิวหนังบริเวณเต้านมเป็นหลุมบ่อคล้ายผิวส้ม มีน้ำหรือเลือดออกจากหัวนม หัวนมบิดเบี้ยวหรือบุ๋มลง รูปทรงเต้านมเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด เจ็บลึก ๆ เรื้อรัง โดยเฉพาะอาการใหม่ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หากพบข้อใดข้อหนึ่ง ให้รีบพบแพทย์

2) การคัดกรองที่ควรทำเป็น “วินัยชีวิต”

การตรวจ 3 ชั้นคือ “ดู–คลำ–สแกน” ดูหน้ากระจกสังเกตความเปลี่ยนแปลง คลำเต้านมและรักแร้ทุกเดือน (หลังหมดประจำเดือน 7–10 วันมักคลำง่ายสุด) และปรึกษาแพทย์เรื่อง แมมโมแกรม/อัลตราซาวด์เต้านม ตามช่วงวัยและความเสี่ยง สำหรับผู้มี ประวัติครอบครัว (เช่น ย่า/แม่/พี่น้องเคยเป็น) ควรคุยแพทย์เรื่องการตรวจถี่ขึ้นหรือปรึกษาด้านพันธุกรรม

3) ปัจจัยเสี่ยงและสิ่งที่ปรับได้

อายุที่มากขึ้น ฮอร์โมนเอสโตรเจนสะสม การมีประจำเดือนเร็ว/หมดช้า การใช้ฮอร์โมนทดแทนนาน การดื่มแอลกอฮอล์ น้ำหนักเกิน การนอนดึกเรื้อรัง ความเครียดสะสม และ อาหารแปรรูป–เนื้อแดงมาก ล้วนเป็นตัวเร่ง การจัดสัดส่วนจานอาหาร เน้นผักผลไม้ โปรตีนดี ไขมันที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนพอ—ช่วยลดความเสี่ยงได้จริง

4) ผ่าตัดคว้าน vs. ตัดเต้านม: ไม่มีคำว่า “ใครเก่งกว่าใคร”

แนวทางรักษาเลือกให้เหมาะกับชนิดของมะเร็ง ระยะโรค ขนาดก้อน ตำแหน่ง และปัจจัยส่วนบุคคล การ ผ่าตัดแบบสงวนเต้านม ร่วมกับ ฉายแสง เป็นมาตรฐานที่แพทย์พิจารณาเมื่อเงื่อนไขเหมาะสม ขณะที่การ ตัดเต้านม อาจจำเป็นในบางกรณี ทั้งหมดนี้ไม่มีสูตรตายตัว—มีแต่ “แผนที่ใช่สำหรับเรา” เท่านั้น

5) โภชนบำบัดและใจบำบัด เดินคู่กัน

หลังรักษา ผู้ป่วยจำนวนมากเจออาการผิวไหม้ อ่อนเพลีย นอนไม่เต็มอิ่ม อารมณ์แกว่งจากการปรับฮอร์โมน การพบทีมโภชนาการเพื่อจัดแผนอาหาร การทำกายภาพหน้าอก/แขนหลังผ่าตัด และการดูแลสุขภาพจิต (counseling/กลุ่มเพื่อนผู้ป่วย) เป็นวงจรการฟื้นฟูที่ช่วยให้กลับมาใช้ชีวิตได้เร็วและมั่นคงกว่าเดิม

“ทีมซัพพอร์ต” สำคัญมาก: ถ้าคนที่เรารักกำลังรักษามะเร็ง ควรทำอย่างไร

ฟังให้มาก พูดให้น้อย—อย่าพยายามสรุปแทนว่า “เดี๋ยวก็หาย” รับฟังความกลัวของเขาและอยู่ข้าง ๆ แบบไม่ตัดสิน ช่วยเรื่องงานจุกจิก เช่น นัดหมอ เอกสาร ประสานประกัน ส่งอาหารดี ๆ ที่กินได้จริง ไม่ต้องหรูแต่ย่อยง่าย ชวนขยับเบา ๆ หรือทำกิจกรรมเล็ก ๆ เพื่อคงคุณค่าชีวิต อย่าวนถามอาการบ่อยจนผู้ป่วยเครียด ให้พื้นที่กับความเงียบบ้างเมื่อเขาต้องการ

บทเรียนจากพลอย: อย่ารอให้โรคมาบังคับให้เราหยุด

พลอยยอมรับตรงไปตรงมาว่า ช่วงหนึ่งเธอใช้ชีวิตสุดทาง: กินไม่เป็นเวลา อาหารแปรรูป เนื้อแดง นอนเช้า เครียดสะสม พอโรคมาเคาะประตูถึงได้ “เบรก” และจัดระเบียบชีวิตใหม่ นี่ไม่ใช่การโทษอดีต แต่คือการแปลง “ความจริง” ให้กลายเป็น “พลัง” เธอกล่าวขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมา และสัญญากับตัวเองว่าจะ รักตัวเองให้มากพอ เพราะถ้าเราไม่ดูแลตัวเอง ก็ไม่มีใครทำแทนเราได้

วันนี้ของพลอย: ก้าวเล็ก ๆ ที่มั่นคง

ตอนนี้เธอแข็งแรงขึ้น ตรวจล่าสุดผลเป็นปกติ น้ำหนักกลับมาดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ออกกำลังกายตามวินัยชีวิตใหม่ เลือกงานที่สอดคล้องกับสุขภาพและใจ ไม่ฝืนตัวเองเหมือนเก่า เธอพูดด้วยแววตาที่กลับมามีประกายว่า “เราไม่ได้ต้องเก่งทุกวัน แค่ซื่อสัตย์กับตัวเอง แล้วเดินต่อ”

เรื่องของ พลอย เฌอมาลย์ จึงไม่ใช่แค่ข่าวดัง แต่คือ “แผนที่ชีวิต” ให้สาวไทยทุกคนเริ่มตรวจเต้านม ตั้งเตือนแมมโมแกรม พักผ่อนให้พอ เลิกเมินสัญญาณกาย และที่สำคัญ—โอบกอดหัวใจของตัวเองแน่น ๆ

ท้ายที่สุด หากคุณกำลังสู้กับ มะเร็งเต้านม หรือโรคใดก็ตาม ขอให้รู้ว่าคุณไม่ได้อยู่ลำพัง เราอาจชนะไม่ทุกวัน แต่เราชนะได้ทุกครั้งที่ยังลุกขึ้นมาดูแลตัวเอง

👉 ติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ได้ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา

ตรวจหวย 24 ชั่วโมง หวยลาว หวยฮานอย

แอดไลน์ @Bankeela รับลิ้งดูบอล ทีเด็ด วิเคราะห์บอลจากทางบ้านกีฬา