เบื้องหลังดราม่าท้ายเกม ประจวบ–ลำพูน ในลีกหนึ่ง
ศึก บีวายดี ซีไลออน ซิกส์ ลีกหนึ่ง ฤดูกาล 2025/26 นัดที่ 11 คู่ระหว่าง พีที ประจวบ เอฟซี เปิดบ้านรับ ลำพูน วอริเออร์ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน กลายเป็นหนึ่งในเกมที่แฟนบอลถกกันหนักที่สุดของซีซั่น หลังช่วงท้ายเกมเจ้าบ้านได้ลูก จุดโทษ สำคัญจนตีเสมอ 1-1 จุดชนวนดราม่าในโลกโซเชียลทันที ว่าจังหวะนี้ “ควร” หรือ “ไม่ควร” เป็นฟาวล์
ฝั่งลำพูนไม่รอช้า เลือกใช้สิทธิ์ตามระเบียบ ยื่นหนังสือร้องเรียนการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินในสนาม และทีมงาน VAR แบบจัดเต็ม โดยมองว่าการให้จุดโทษในจังหวะท้ายเกมนั้นรุนแรงเกินไปและอาจมีข้อผิดพลาดในการตีความกติกา
ลำพูนยื่นเรื่องถึงคณะวินัยฯ ขอเช็ก VAR และการตัดสินละเอียดทุกมุม
หลังจบเกม ลำพูน วอริเออร์ ทำเรื่องอย่างเป็นทางการต่อ คณะกรรมการพิจารณาวินัย มารยาท ขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตัดสิน วรินทร สัสดี และทีมงานในห้อง VAR ที่มี ศิวกร ภูอุดม ร่วมทำหน้าที่ ว่ามีการตีความผิดพลาดหรือไม่ในช็อตตัดสินให้จุดโทษช่วงท้ายเกม
การร้องเรียนครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องอารมณ์ แต่เป็นการตั้งคำถามถึงมาตรฐานการตัดสินในฟุตบอล บอลไทย ว่า VAR ถูกใช้ “ถูกที่ ถูกเวลา ถูกหลักกติกา” มากแค่ไหน เพราะหนึ่งลูกจุดโทษในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ สามารถเปลี่ยนหน้าเกม เปลี่ยนผลการแข่งขัน และส่งผลต่ออันดับในตารางของทั้งสองทีมโดยตรง
คณะวินัยฯ เปิดคลิปหลายมุม ก่อนสรุปชัด “เป่าจุดโทษถูกต้อง”
ล่าสุด คณะกรรมการพิจารณาวินัย มารยาท ได้เปิดเผยผลการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ โดยยืนยันว่า จังหวะให้จุดโทษในเกมระหว่าง พีที ประจวบ เอฟซี พบ ลำพูน วอริเออร์ นั้น ผู้ตัดสินในสนามและทีมงาน VAR ตัดสิน “ถูกต้องตามกติกา”
จากการไล่ดูคลิปวิดีโอในหลายมุมกล้อง พบว่าจังหวะปัญหาเกิดจากการปะทะในเขตโทษ เมื่อ หม่อง หม่อง ลวิน ผู้เล่นลำพูน ใช้เข่าซ้ายปะทะเข้าบริเวณด้านหลังขาและส้นเท้าของผู้เล่นประจวบที่กำลังวิ่งเล่นบอลในจังหวะบุก ทำให้ทิศทางการก้าวเท้าของฝ่ายรุกเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนจนเสียหลักล้มลงในเขตโทษ
แม้จะไม่ใช่การสกัดแบบรุนแรงหรือมีเจตนาอันตราย แต่ตามนิยามในกติกา จังหวะแบบนี้ถือเป็นการเล่นที่ขาดความระมัดระวัง หรือ “CAREFLESS” ซึ่งอยู่ในกลุ่มการฟาวล์ที่สามารถให้เป็นจุดโทษได้อย่างถูกต้อง หากเกิดขึ้นภายในเขตโทษของฝ่ายรับ
การตัดสินใจของผู้ตัดสินในสนามที่เป่าให้เป็นจุดโทษ รวมถึงการที่ทีมงาน VAR ไม่แนะนำให้เปลี่ยนคำตัดสิน จึงได้รับการยืนยันว่า “อยู่ในกรอบที่ถูกต้อง” ตามหลักกติกาฟุตบอลสากล
เคสหม่อง หม่อง ลวิน: ฟาวล์ไม่หนัก แต่ส่งผลให้ล้ม จึงให้จุดโทษได้
ประเด็นสำคัญที่คณะวินัยฯ หยิบมาพิจารณาคือ “การปะทะมีผลต่อการล้มของผู้เล่นหรือไม่” ซึ่งจากภาพชัดเจนว่า การใช้เข่าซ้ายของหม่อง หม่อง ลวิน ปะทะด้านหลังขาและส้นเท้าของผู้เล่นประจวบ ทำให้จังหวะเท้าของฝ่ายรุกสะดุด เปลี่ยนทิศการก้าว และเสียสมดุลจนล้มลง
แม้ลักษณะการปะทะจะไม่ใช่การกระโดดเสียบ หรือการเข้าสกัดแบบอันตรายถึงขั้น Serious Foul Play แต่การที่ผู้เล่นฝ่ายรับไม่ระมัดระวังพอในจังหวะเข้าแทรกฝ่ายรุก และทำให้คู่แข่งเสียจังหวะอย่างชัดเจน ถือว่าเข้าเงื่อนไขการฟาวล์แบบ CARELESS ตามตัวหนังสือของกติกาฟุตบอล
ดังนั้น การให้เป็นจุดโทษในจังหวะนี้จึงไม่ใช่ “การยัดเยียด” หรือ “ตัดสินเกินจริง” อย่างที่แฟนบอลบางส่วนสงสัย แต่เป็นการใช้ดุลยพินิจไปตามกรอบของกติกาที่ฟีฟ่ากำหนด
ผู้ตัดสิน-ทีม VAR รอดแบน ไม่มีโทษจากการร้องเรียน
จากผลการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ทำให้การร้องเรียนจากฝั่งลำพูนในครั้งนี้ “ไม่ส่งผล” ให้มีการลงโทษผู้ตัดสินหรือทีมงาน VAR แต่อย่างใด
ทั้งผู้ตัดสินหลัก วรินทร สัสดี และเจ้าหน้าที่ VAR อย่าง ศิวกร ภูอุดม ได้รับการยืนยันว่าปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้องตามกติกา หลักฐานวิดีโอแสดงชัดว่าการปะทะของผู้เล่นลำพูนมีผลต่อการล้มของผู้เล่นประจวบ และเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะให้เป็นการฟาวล์และจุดโทษ
สำหรับวงการ ไทยลีก และฟุตบอลลีกอาชีพในประเทศ การยืนยันแบบชัดเจนจากคณะวินัยฯ ในเคสนี้ถือเป็นการเคลียร์ข้อสงสัย และช่วยเสริมความเชื่อมั่นต่อระบบตรวจสอบย้อนหลัง ว่ามีการใช้ภาพจากหลายมุมกล้อง และอ้างอิงตัวบทกติกาจริง ไม่ได้ยึดตามเสียงโวยวายเพียงอย่างเดียว
เข้าใจกติกาจุดโทษและบทบาท VAR ให้มากขึ้นในฟุตบอลยุคใหม่
ในฟุตบอลยุคที่มี VAR เข้ามาเกี่ยวข้อง แฟนบอลจำนวนไม่น้อยยังสับสนว่า จังหวะแบบไหน “ถึงขั้น” เป็นจุดโทษ และแบบไหนควรปล่อยเล่นต่อ โดยเฉพาะจังหวะปะทะเล็กน้อยที่หลายคนมองว่า “ไม่แรง” แต่ผู้ตัดสินกลับให้ฟาวล์
กติกาฟุตบอลแบ่งการฟาวล์จากการเข้าปะทะเป็นหลายระดับ เช่น เล่นอย่างรอบคอบ, ขาดความระมัดระวัง (Careless), ประมาทเลินเล่อ (Reckless) และรุนแรงเกินควร (Excessive Force) ซึ่งแม้ในระดับ Careless จะไม่ใช่การเข้าสกัดอันตราย แต่หากการปะทะนั้นทำให้คู่แข่งเสียจังหวะหรือเสียสมดุล โดยเฉพาะในเขตโทษ ก็สามารถให้เป็นฟาวล์และจุดโทษได้
ส่วนหน้าที่ของ VAR ไม่ได้มีไว้ “เป่าแทน” ผู้ตัดสินในสนาม แต่ทำหน้าที่ช่วยเช็กว่ามี “ความผิดพลาดชัดเจนและเห็นได้อย่างชัดเจน (Clear and Obvious Error)” หรือไม่ หากจังหวะที่เป่าไปสามารถตีความได้ในกรอบกติกา แม้จะมีเสียงโต้เถียงจากฝั่งใดฝั่งหนึ่ง VAR ก็ไม่จำเป็นต้องแทรกแซงหรือเปลี่ยนคำตัดสิน
การเข้าใจพื้นฐานเหล่านี้ จะช่วยให้แฟนบอลมองเกมได้รอบด้านขึ้น และอ่านสถานการณ์ในสนามได้ชัดขึ้นเวลาเกิดจังหวะปัญหาแบบเกม พีที ประจวบ เอฟซี พบ ลำพูน วอริเออร์
แฟนบอลสายบอลไทย เกาะทุกดราม่าได้ที่ บ้านกีฬา
ดราม่าจุดโทษเกมประจวบ–ลำพูนครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าฟุตบอลลีกหนึ่งของไทยมีทั้งความเข้มข้นในสนาม และการใช้กติกา–เทคโนโลยีอย่างจริงจังนอกสนาม ไม่ว่าจะเป็นการร้องเรียน การตรวจสอบคลิปย้อนหลัง หรือคำตัดสินจากคณะกรรมการวินัย ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนามาตรฐาน บอลไทย ให้เดินหน้าไปข้างหน้า
สำหรับแฟนลูกหนังชาวไทยที่อยากตามทุกประเด็นร้อน ทั้ง จุดโทษ, VAR, ดราม่าผู้ตัดสิน, ฟอร์มทีมเล็กทีมใหญ่ในลีกหนึ่ง ไปจนถึงข่าวเด็ดจาก ไทยลีก และฟุตบอลต่างประเทศ ข่าวบอลไทยบ้านกีฬา จะยังคงเกาะติดทุกเคส ทุกจังหวะปัญหา และทุกเกมที่มีประเด็น มาเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย แต่มันส์เข้มข้นในแบบคนดูบอลตัวจริง อย่าลืมติดตาม บ้านกีฬา เพื่อไม่ให้พลาดทุกเรื่องราวจากโลกฟุตบอลที่คุณสนใจ

