กระแสยังคุกรุ่นไม่จบ สำหรับเหตุการณ์ใบแดงของ ชนาธิป สรงกระสินธ์ เพลย์เมกเกอร์จอมเทคนิคจาก บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ในเกมบุกพ่าย สุโขทัย เอฟซี 1-3 ศึก บีวายดี ซีไลออน ซิกส์ ลีก 1 นัดที่ 9 ล่าสุด คณะกรรมการพิจารณาวินัยและมารยาท ออกคำชี้ขาดยืนยันว่า ผู้ตัดสินชัยฤกษ์ งามสม และทีม VAR ทำหน้าที่ถูกต้องตามกติกาทุกประการ
บีจี ปทุม ร้องเรียนหลังจังหวะ “ชนาธิป โดนแดง” แต่คณะวินัยฯ ยืนยันเปาถูก
หลังเกมดังกล่าวเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 “เดอะ แรบบิท” บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนอย่างเป็นทางการต่อสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เพื่อขอให้มีการตรวจสอบการทำหน้าที่ของทีมผู้ตัดสิน โดยเฉพาะจังหวะที่ ชนาธิป ถูกใบแดงจากเหตุการณ์ต่อเนื่องกับ ชัยพล อดทน แข้งสุโขทัยที่พยายามจะเข้าปะทะจนเกิดการกระแทกกันอย่างรุนแรง ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนของเกม
อย่างไรก็ตาม ผลการพิจารณาของ คณะกรรมการพิจารณาวินัย มารยาท ระบุชัดว่า ผู้ตัดสิน ชัยฤกษ์ งามสม ตัดสินถูกต้องทุกขั้นตอน โดยเฉพาะการ “รอจังหวะได้เปรียบ” ก่อนเป่าหยุดเกม ถือเป็นการใช้ดุลยพินิจในกรอบกติกาสากลอย่างสมเหตุสมผล ทั้งยังชี้ว่า การแจกใบเหลืองให้ ชัยพล อดทน นั้นสอดคล้องกับลักษณะการฟาวล์เดิมที่เกิดขึ้นก่อนหน้า
เหตุผลใบแดง “ชนาธิป” เข้าข่ายใช้กำลังเกินเหตุ
สำหรับจังหวะที่เป็นประเด็นหลักในเกม คือเหตุการณ์ที่ ชนาธิป สรงกระสินธ์ พยายามสลัดหลุดจากการถูกกอดรัด แต่กลับเหวี่ยงแขนซ้ายไปโดนบริเวณใบหน้าของคู่แข่งอย่างจัง ซึ่งหลังตรวจสอบภาพช้าในระบบ VAR พบว่าการกระทำนั้นเข้าข่าย Using Excessive Force หรือการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ อีกทั้งยังถือเป็น Serious Foul Play หรือการเล่นผิดกติกาอย่างร้ายแรง
ดังนั้น การที่ ชัยฤกษ์ งามสม ชูใบแดงไล่ชนาธิปออกจากสนามหลังตรวจสอบจาก VAR ถือเป็นการตัดสินที่ “ถูกต้องตามกติกาฟีฟ่า” ทุกประการ และได้รับการรับรองโดยคณะวินัยฯ อย่างเป็นเอกฉันท์
“จังหวะนี้ไม่ใช่เพียงอารมณ์ชั่ววูบ แต่เป็นการใช้กำลังที่อาจทำอันตรายต่อคู่ต่อสู้ได้” — แหล่งข่าวภายในคณะวินัยฯ เผยถึงมติในที่ประชุม
เคส “เปาโดนชน” ก็ไม่ผิด คณะวินัยฯ ชี้เป็นอุบัติเหตุจากจังหวะเร็ว
อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่แฟนบอลพูดถึงคือจังหวะที่ผู้ตัดสิน ชัยฤกษ์ งามสม ดูเหมือนจะไปขวางทางวิ่งของผู้เล่นบีจี ปทุม ในช่วงหนึ่งของเกม แต่ทางคณะวินัยฯ ได้ตรวจสอบจากภาพรีเพลย์หลายมุมแล้วพบว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็น Accidental Collision หรือการปะทะโดยบังเอิญที่เกิดขึ้นในจังหวะเร็ว ผู้ตัดสินไม่สามารถหลบหลีกได้ทัน อีกทั้งลูกบอลไม่ได้สัมผัสตัวผู้ตัดสิน และไม่มีการเปลี่ยนการครอบครองบอล ทำให้ไม่จำเป็นต้องเป่าหยุดเกม การให้เล่นต่อไปถือว่าถูกต้องตามหลักสากล
วิเคราะห์แนวทางและบทเรียนสำคัญจากเหตุการณ์นี้
คำตัดสินครั้งนี้กลายเป็นตัวอย่างสำคัญของการบังคับใช้กติกาอย่างเคร่งครัดใน ไทยลีก ยุคใหม่ ที่เน้น “มาตรฐานเดียวกับเอเชียและระดับนานาชาติ” โดยเฉพาะการใช้ VAR ที่มีบทบาทสำคัญต่อความถูกต้องของเกม ซึ่งผู้เล่นทุกคนจำเป็นต้องเข้าใจถึงขอบเขตของการปะทะ การป้องกันตัว และการควบคุมอารมณ์ในสนาม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย
ในขณะเดียวกัน ฝ่ายจัดการแข่งขันยังย้ำว่าจะเดินหน้าพัฒนาเรื่องการอบรมผู้ตัดสิน และการให้ความรู้แก่ผู้เล่นและโค้ชอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกมฟุตบอลไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพทั้งในเชิงเทคนิคและวินัย
มุมมองระยะยาวต่อฟุตบอลไทย
กรณีนี้สะท้อนให้เห็นว่าการมี VAR และระบบตรวจสอบหลังเกมที่โปร่งใสมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับแฟนบอล การตัดสินของ คณะวินัยฯ ยังตอกย้ำถึงความตั้งใจของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในการยกระดับมาตรฐานการตัดสินให้ทัดเทียมลีกชั้นนำของเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือซาอุดิอาระเบีย
ในอนาคตอันใกล้ การควบคุมเกมอย่างเข้มงวดและยึดหลักความเป็นธรรมจะกลายเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาภาพลักษณ์ของลีกฟุตบอลไทย และช่วยให้ผู้เล่นไทยสามารถปรับตัวสู่ฟุตบอลอาชีพระดับสูงได้ดียิ่งขึ้น
แฟนบอลสามารถติดตามทุกความเคลื่อนไหวของศึก ไทยลีก, ผลการแข่งขัน, ตารางคะแนน และข่าววงในแบบเข้มข้น ได้ที่ ข่าวบอลไทยบ้านกีฬา สื่อฟุตบอลที่แฟนบอลชาวไทยไว้วางใจมากที่สุด

