ปิดฉากบทสำคัญของวงการลูกหนังไทย
ชื่อของ มาซาทาดะ อิชิอิ กลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในหมู่แฟนบอลไทย หลังเข้ามารับหน้าที่หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยตั้งแต่ปลายปี 2023 และนำทัพ “ช้างศึก” ลุยศึกใหญ่หลากหลายรายการ ล่าสุด สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้ประกาศ ยุติสัญญาอย่างเป็นทางการ กับกุนซือชาวญี่ปุ่นรายนี้ หลังผ่านการคุมทีมทั้งสิ้น 30 นัด พร้อมทิ้งสถิติที่น่าจดจำไว้มากมาย
ผลงานของเขาไม่เพียงบอกเล่าเรื่องราวในสนามเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงทิศทางของฟุตบอลไทยในยุคที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เข้มข้นทั้งในระดับอาเซียนและเอเชีย
สถิติผลงานคุมทีมชาติไทย
ตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ปี (ธันวาคม 2023 – ตุลาคม 2025) อิชิอิพาช้างศึกลงสนามรวม 30 นัด โดยมีผลงานดังนี้
- แข่ง 30 นัด
- ชนะ 16 นัด
- เสมอ 6 นัด
- แพ้ 8 นัด
- ยิงได้ 58 ประตู
- เสีย 34 ประตู
สถิตินี้สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการพาทีมเก็บชัยชนะได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของเกมทั้งหมด แม้จะมีบางแมตช์ที่ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แต่ก็ถือเป็นยุคที่ทีมชาติไทยมีจังหวะเกมรุกที่เฉียบคมและกล้าเปิดเกมรุกมากขึ้น
16 นัดที่พาช้างศึกคว้าชัย
ตลอดการทำหน้าที่ อิชิอิพาทีมชาติไทยคว้าชัยในหลายเกมสำคัญ โดยเฉพาะใน ศึกอาเซียน คัพ และ คิงส์คัพ ซึ่งเป็นรายการที่เขาโชว์ศักยภาพการคุมทีมได้โดดเด่น ตัวอย่างเช่น
- ไชนิส ไทเป (เยือน) 6-1 – เอเชียนคัพ
- ฟิจิ (เหย้า) 3-0 – คิงส์คัพ
- เวียดนาม (เยือน) 2-1 – อุ่นเครื่อง
- ติมอร์ (เยือน) 10-0 – อาเซียน คัพ
- คีร์กีซสถาน 2-0 – เอเชียนคัพ
ชัยชนะเหล่านี้ไม่เพียงสร้างความมั่นใจให้กับทีม แต่ยังสะท้อนถึงแนวทางการเล่นที่เน้นความดุดันและการเข้าทำที่หลากหลาย
6 นัดที่เสมอ
เกมที่เสมอส่วนใหญ่มาจากการเจอกับทีมในระดับเอเชียที่แข็งแกร่ง ซึ่งแม้จะไม่สามารถเก็บชัยได้ แต่ก็แสดงให้เห็นถึง ความเหนียวแน่นในเกมรับ และความสามารถในการต่อกรกับคู่แข่งที่มีศักยภาพสูง เช่น
- เกาหลีใต้ (เยือน) 1-1 – ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
- ซาอุดิอาระเบีย 0-0 – เอเชียนคัพ
- จีน (เยือน) 1-1 – ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
นี่คือสัญญาณว่าทีมชาติไทยเริ่มพัฒนาขึ้นในด้านแท็กติกและความเข้าใจเกมระดับนานาชาติ
8 นัดที่พ่ายแพ้
แม้จะมีชัยชนะหลายครั้ง แต่ยุคของอิชิอิก็ต้องเจอกับความพ่ายแพ้ที่เจ็บปวดไม่น้อย โดยเฉพาะในเวทีระดับเอเชียที่คู่แข่งแข็งแกร่งกว่า เช่น
- ญี่ปุ่น (เยือน) 0-5 – อุ่นเครื่อง
- เกาหลีใต้ (เหย้า) 0-3 – ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
- อุซเบกิสถาน 1-2 – เอเชียนคัพ
- เวียดนาม (เหย้า/เยือน) รวม 2 นัด – อาเซียน คัพ
แม้จะเป็นความพ่ายแพ้ แต่ก็กลายเป็นบทเรียนสำคัญของทีมชาติไทยในการยกระดับเกมรับและความคมในแดนหน้า
บทบาทสำคัญในอาเซียน
จุดแข็งของอิชิอิอยู่ที่การพาทีมประสบความสำเร็จในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะ อาเซียน คัพ ซึ่งเป็นเวทีที่แฟนบอลไทยคาดหวังสูง เขาสามารถวางระบบการเล่นที่ชัดเจน เน้นความดุดันและเกมรุกที่ไหลลื่น ทำให้ช้างศึกกลายเป็นทีมที่คู่แข่งในภูมิภาคไม่ประมาท
ผลงานในรายการ คิงส์คัพ ก็ถือว่าโดดเด่นไม่แพ้กัน โดยทีมสามารถเอาชนะคู่แข่งอย่าง ซีเรีย และ ฟิลิปปินส์ ได้อย่างสวยงาม
จุดอ่อนในเกมระดับเอเชีย
แม้จะประสบความสำเร็จในภูมิภาค แต่อิชิอิยังต้องเจอกับความท้าทายเมื่อขึ้นไปดวลกับทีมระดับเอเชียชั้นนำ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรืออุซเบกิสถาน ความต่างด้านร่างกาย ความเร็ว และความคมของเกมคู่แข่งคือปัจจัยที่ทำให้ช้างศึกยังไม่สามารถก้าวข้าม “กำแพงเอเชีย” ได้เต็มตัว
นี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ตัดสินใจ ปรับแนวทางใหม่ เพื่อเตรียมพร้อมสู่การแข่งขันระดับทวีปที่เข้มข้นยิ่งขึ้นในอนาคต
ก้าวต่อไปของช้างศึก
หลังการแยกทางของอิชิอิ ทีมชาติไทยจะเข้าสู่ช่วงปรับทัพครั้งสำคัญ ก่อนโปรแกรม ฟีฟ่า เดย์ เดือนพฤศจิกายน 2568 โดยมีคิวอุ่นเครื่องกับ สิงคโปร์ ในวันที่ 13 พฤศจิกายน และบุกเยือน ศรีลังกา ในศึก เอเชียนคัพ 2027 รอบคัดเลือก นัดที่ 5 วันที่ 18 พฤศจิกายน ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งบททดสอบของทีมชาติไทยยุคใหม่
ความหมายที่มากกว่าสถิติ
สถิติของอิชิอิอาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่สิ่งที่เขาทิ้งไว้คือรากฐานของแท็กติกที่ชัดเจนขึ้น ความมั่นใจของนักเตะ และแนวทางการเล่นที่กล้าเปิดเกมรุกมากกว่ายุคก่อน ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นของการยกระดับฟุตบอลไทยให้เข้าใกล้มาตรฐานเอเชียมากขึ้น
แฟนบอลจำนวนไม่น้อยต่างยอมรับว่าเขาคือหนึ่งในโค้ชต่างชาติที่ทุ่มเทและทำงานหนักเพื่อทีมชาติไทยอย่างแท้จริง
ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของช้างศึก
แม้ยุคของมาซาทาดะ อิชิอิจะปิดฉากลง แต่เส้นทางของทีมชาติไทยยังคงเดินหน้าต่อไป แฟนบอลไทยทั่วประเทศต่างตั้งตารอว่าโค้ชคนใหม่จะพาทีมไปไกลแค่ไหนบนเวทีเอเชีย และจะสานต่อพลังที่อิชิอิได้ปลูกไว้หรือไม่
อย่าพลาดข่าวสารวงการฟุตบอลไทยและเอเชีย ติดตามได้ที่ ข่าวบอลไทยบ้านกีฬา ทุกวัน

