
ในบรรยากาศการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ ลาดพร้าว มีการเปิดเผยข้อมูลสำคัญที่อาจเขย่าวงการลูกหนังไทยในฤดูกาลหน้า เมื่อ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมฯ คนปัจจุบัน ประกาศชัดว่า ขณะนี้มีบริษัทและกลุ่มทุนถึง 4 ราย ที่ยื่นข้อเสนอเพื่อซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด ไทยลีก สำหรับฤดูกาล 2025–2028 ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญต่อการพัฒนาและยกระดับฟุตบอลอาชีพในประเทศไทย
มาดามแป้งระบุว่า รายละเอียดอย่างเป็นทางการของผู้ที่ยื่นข้อเสนอจะถูกเปิดเผยหลังวันที่ 27 มีนาคมนี้ ซึ่งหลังจากผ่านพ้นขั้นตอนการเจรจาและพิจารณาแล้ว สมาคมจะประกาศอย่างเป็นทางการถึงผู้ที่จะได้สิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลไทยลีกครบทุกฤดูกาลในระยะเวลาสัญญาใหม่
ทั้ง 4 รายที่ยื่นข้อเสนอเข้ามานั้นต่างเป็นกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพในระดับแถวหน้าของวงการ ได้แก่
- AIS ที่จับมือกับพันธมิตรในวงการโทรคมนาคมอย่าง Jasmin ซึ่งแสดงความพร้อมด้านเทคโนโลยีเครือข่ายถ่ายทอดสด
- BG Sport กลุ่มทุนจากวงการกีฬาโดยตรง ที่ต้องการสร้างความต่อเนื่องให้กับลีกในประเทศ
- ทรูวิชั่นส์ ที่เคยถือครองลิขสิทธิ์มาแล้ว และยังคงมีฐานแฟนคลับเหนียวแน่นทั่วประเทศ
- กลุ่มทุนจากต่างประเทศ ซึ่งแม้ยังไม่เปิดเผยชื่อ แต่ได้รับการยืนยันว่าเป็นบริษัทระดับโลกที่เล็งเห็นโอกาสในฟุตบอลไทย
การแย่งชิงลิขสิทธิ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการประมูลธุรกิจเท่านั้น แต่ยังหมายถึงอนาคตของ ฟุตบอลไทยลีก ทั้งในด้านคุณภาพการถ่ายทอด การเข้าถึงของแฟนบอล และเม็ดเงินสนับสนุนที่แต่ละสโมสรจะได้รับในระยะยาว ถือเป็นศึกนอกสนามที่เดิมพันด้วยอนาคตของวงการลูกหนังไทยโดยแท้จริง
นอกจากประเด็นเรื่องลิขสิทธิ์แล้ว อีกหนึ่งประเด็นร้อนที่มาดามแป้งกล่าวถึงคือกรณีคดีความระหว่าง สมาคมฟุตบอลฯ กับสยามสปอร์ต ที่ศาลตัดสินให้สมาคมต้องชดใช้เงิน 360 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย เนื่องจากการยกเลิกสัญญาเมื่อหลายปีก่อนนั้นถูกตัดสินว่า “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย”
มาดามแป้งยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ถึงขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินคดีกับ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตนายกสมาคมฯ โดยระบุว่า เรื่องนี้ยังอยู่ในกระบวนการเจรจาและวางแผนทางกฎหมาย
เพื่อจัดการกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนและตัวเลขมหาศาลดังกล่าว สมาคมฯ ได้จัดตั้งทีมเจรจาขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อหารือกับสยามสปอร์ตและผู้เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งวางแนวทางการรับมือกับผลกระทบที่จะตามมา
มาดามแป้งอธิบายเพิ่มเติมว่า “เหตุการณ์ที่สมาคมต้องชดใช้เงินนั้น เกิดจากการที่สยามสปอร์ตแพ้คดีให้ทรูวิชั่นส์ในอดีต ส่งผลให้การยกเลิกสัญญาที่เกี่ยวข้องกับทรูฯ กลายเป็นข้อพิพาททางกฎหมายกับสมาคมไปด้วย” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การเสียค่าชดเชยธรรมดา แต่คือการสะสาง “ปมพันธะซ้อน” ที่ลากยาวและมีมูลค่าสูงระดับเกินครึ่งพันล้าน
ทั้งหมดนี้ไม่เพียงแค่สะท้อนภาระที่สมาคมต้องแบกรับในปัจจุบัน แต่ยังเป็นบทพิสูจน์ความเด็ดเดี่ยวของ “มาดามแป้ง” ที่ต้องเดินหน้าฟื้นความเชื่อมั่นของวงการลูกหนังไทย ทั้งในมิติของธุรกิจ สิทธิประโยชน์ และการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ
สำหรับแฟนบอลที่ติดตาม ฟุตบอลไทยลีก และอยากเห็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน บทสรุปของศึกชิงลิขสิทธิ์ครั้งนี้ รวมถึงการคลี่คลายปมคดีความ จะเป็นหัวใจสำคัญในการกำหนดทิศทางของลีกในอีกหลายปีข้างหน้า
ติดตามข่าวฟุตบอลไทยและบทวิเคราะห์เจาะลึกทุกแง่มุมของวงการกีฬาได้ที่ ข่าวบอลไทยบ้านกีฬา ที่เดียวจบครบทุกมิติ ไม่พลาดทุกจังหวะสำคัญของวงการลูกหนัง!