นาโปลีบุกเชือดโรม่า ส่งข้อความดังลั่นทั้งถึงคู่แข่งและตัวเอง
ชัยชนะ 1-0 ของ นาโปลี เหนือ โรม่า ถึงถิ่นสตาดิโอ โอลิมปิโก้ ไม่ได้เป็นแค่สามแต้มธรรมดาในศึก เซเรียอา แต่มันคือ “ข้อความ” ที่ อันโตนิโอ คอนเต้ ย้ำชัดว่าเป็นการส่งถึงตัวเองและทีม ว่าพวกเขายังมีดีพอจะยืนระยะในเส้นทางล่า สคูเด็ตโต้ ต่ออีกปี
เกมนี้จบลงด้วยภาพนาโปลีเล่นด้วยความมั่นใจ กล้าดันไลน์สูง กล้าบุกใส่ทั้งที่อยู่ในช่วงวิกฤตตัวเจ็บ บวกกับการตัดสินใจเชิงแท็กติกของคอนเต้ที่เปลี่ยนระบบจนทีมกลับมาคมอีกครั้ง อย่างที่แฟนบอลเห็นภายในเวลาไม่นาน
ลูกยิงโต้กลับเร็วของ เดวิด เนเรส กลายเป็นจุดตัดสินเกม และยังต่อยอดผลงานส่วนตัวหลังจากเพิ่งยิงสองประตูใส่อตาลันต้าในเกมก่อนหน้า ทำให้ตอนนี้เขากลายเป็นตัวทีเด็ดคนสำคัญในแนวรุกของนาโปลีไปเรียบร้อย
คอนเต้อธิบายเหตุผล “ขอเวลาหายใจ” พร้อมลั่นจะทำแบบนี้ตลอดไป
ก่อนหน้านี้มีการพูดถึงประเด็นที่ คอนเต้ ขอเวลาพักไม่คุมซ้อมช่วงหนึ่งในระหว่างเบรกทีมชาติ ซึ่งในอังกฤษถือเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ของแปลก และเจ้าตัวก็ออกมาอธิบายชัดเจนว่าทำไมเขาถึงเลือกทางนี้ และตั้งใจจะทำต่อไปในอนาคต
เขากล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
“มันไม่ใช่เรื่องแปลกในอังกฤษที่ช่วงเบรกทีมชาติจะได้พัก เขาให้ผมหยุดโดยที่ผมไม่ต้องร้องขอด้วยซ้ำตอนอยู่เชลซีและท็อตแน่ม”
คอนเต้อธิบายต่อว่า แนวคิดนี้เป็นข้อตกลงร่วมกับสโมสรในอิตาลีเช่นกัน
“มันเป็นการตกลงกันอย่างเต็มที่กับสโมสร เพราะเรามีช่วงสี่เดือนที่เตะกันถี่แทบไม่หยุด ผมมีสตาฟฟ์ที่ยอดเยี่ยมเหมือนตอนอยู่อังกฤษ และคิดว่าผมจะทำแบบนี้ต่อไปในอนาคต ความกดดันในการเตรียมทีมลงเล่นทุกสามวันมันเยอะมาก การให้ตัวเอง ครอบครัว และคนที่อยู่ที่สนามซ้อมได้หายใจโล่งบ้างดูจะเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล”
มุมมองของคอนเต้สะท้อนให้เห็นว่า เขาไม่ได้คิดถึงแค่แท็กติกในสนาม แต่ให้ความสำคัญกับ “สมดุลชีวิต” ของทั้งตัวเองและทีมงาน เพื่อให้ทุกคนพร้อมรับความกดดันในระยะยาวของฤดูกาล
แท็กติก 3-4-2-1 ชุบชีวิตเนเรสและแม็คโทมิเนย์กลางวิกฤตเจ็บ
จุดเปลี่ยนสำคัญของ นาโปลี ฤดูกาลนี้คือวิกฤตอาการบาดเจ็บที่บีบให้คอนเต้ต้องกลับไปใช้ระบบ 3-4-2-1 อีกครั้งเหมือนตอนเพิ่งเข้ามาคุมทีมใหม่ๆ ซึ่งเขายอมรับเองว่าทุกอย่างถูกบังคับจาก “ทรัพยากรที่มีอยู่จริง”
คอนเต้ชี้ว่าตอนนี้ทีมมีมิดฟิลด์ธรรมชาติให้ใช้งานแบบจริงจังเพียงสองคนคือ โลบ็อตก้า และ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ ขณะที่เอลมาสแม้จะเล่นได้หลายตำแหน่ง แต่ไม่ใช่ตัวกลางอาชีพ และเวร์การ่าก็เป็นเด็กจากอะคาเดมีที่ต้องถูกดันขึ้นมาในอนาคตอันใกล้
เขาอธิบายว่า
“ข่าวดีก็คือทีมตอบสนองต่อปัญหาตัวเจ็บได้ดีมาก เราจำเป็นต้องเปลี่ยนระบบกลับไปใช้ 3-4-2-1 แบบตอนผมเพิ่งมาคุม นาโปลี ใหม่ๆ และทั้งหมดนี้ถูกกำหนดจากจำนวนมิดฟิลด์ที่เรามีอยู่ตอนนี้ ซึ่งก็คือโลบ็อตก้ากับแม็คโทมิเนย์”
ประเด็นเรื่องแม็คโทมิเนย์ถูกมองว่าโดนจับเสียของในระบบนี้ คอนเต้ก็ไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน
“มีคนบอกว่าแม็คโทมิเนย์โดนเอาไปสังเวยในระบบนี้ แต่ในมุมมองผม นั่นก็คือบทบาทของเขา เขาเป็นมิดฟิลด์บ็อกซ์ทูบ็อกซ์ เราไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะมีแค่เอลมาสเป็นตัวสลับ และนั่นก็ยังไม่ใช่ตำแหน่งธรรมชาติของเขา ส่วนเวร์การ่ามาจากอะคาเดมี และท้ายที่สุดเขาก็ต้องได้ลง เพราะถ้าหนึ่งในสองมิดฟิลด์หายไป เราก็ไม่มีใครเหลือแล้ว”
ระบบนี้ยังทำให้เนเรสได้โชว์ของเต็มที่ในเกมรุก จนกลายเป็นตัวปิดสกอร์สำคัญทั้งในเกมกับอตาลันต้าและโรม่าในช่วงสั้นๆ นับเป็นการใช้ทรัพยากรในทีมได้คุ้มค่าแม้อยู่ท่ามกลางสถานการณ์ไม่สมบูรณ์
คอนเต้ชมลูกทีมเล่นแบบมีอำนาจ แถมรับมือวิกฤตเจ็บได้อย่างผู้ชนะ
การบุกชนะโรม่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฝั่งเจ้าบ้านอยู่ในฟอร์มที่ดี มีผลงานต่อเนื่องและยืนเหนือกว่าในตารางก่อนเตะ แต่คอนเต้มองว่าลูกทีมของเขาแสดง “คาแรกเตอร์ของทีมแชมป์” ออกมาได้ชัดเจน
เขายืนยันว่า
“การบุกมาเล่นที่สตาดิโอ โอลิมปิโก้ แล้วคุมเกมได้อย่างที่เราทำ ดันเกมรุกตลอด มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
พร้อมเสริมถึงคุณภาพของโรม่าว่า
“โรม่ามาจากผลงานที่ดีต่อเนื่อง อยู่เหนือกว่าเราในตาราง และเป็นทีมที่แข็งแกร่งมาก ผมพอใจ เพราะได้เห็นฟอร์มการเล่นที่เต็มไปด้วยคาแรกเตอร์จากลูกทีม เรามองตาพวกเขาแบบไม่กลัวตั้งแต่ต้นเกม”
ถึงจะชนะ แต่คอนเต้ก็ไม่ปิดบังว่าช่วงนี้ของนาโปลีไม่ง่ายเลย
“ผมดีใจมาก แต่พูดกันตรงๆ ตอนนี้เราผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก มีนักเตะหายไปเยอะ และมันจะยังเป็นแบบนี้อีกพักใหญ่ ไม่ใช่ว่าผมกังวล แต่ผมหวังอย่างเดียวว่าพวกที่ยังลงเล่นได้ตอนนี้จะไม่เจ็บเพิ่ม ไม่งั้นเราจะลำบากกว่านี้อีก”
เขาย้ำด้วยว่า
“เด็กๆ พวกนี้พิสูจน์ให้เห็นทุกวันว่าพวกเขามีทั้งความกระหาย ความมุ่งมั่น และความทุ่มเท นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราคว้า สคูเด็ตโต้ เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เราจะพยายามเต็มที่เพื่อป้องกันแชมป์ในปีนี้ โดยหวังว่าจะไม่มีอาการบาดเจ็บระยะยาวเพิ่มเข้ามาอีก”
เด ลอเรนติสยกนิ้วให้ “แม่ทัพตัวจริง” พร้อมบทบาทคอนเต้ในห้องแต่งตัว
หลังเกม ประธานสโมสรอย่าง ออเรลิโอ เด ลอเรนติส ก็ไม่พลาดออกมาแสดงความพอใจผ่านโซเชียล มีเดีย โดยโพสต์ข้อความว่าเป็น
ข้อความนี้ถูกโยงทันทีว่า “แม่ทัพตัวจริง” ที่พูดถึงก็คือคอนเต้ ซึ่งเจ้าตัวถึงกับหัวเราะเมื่อถูกผู้สื่อข่าวเปิดทวิตให้ดู
“เขาหมายถึงผมหรือเปล่า?”
จากนั้นคอนเต้เสริมถึงบรรยากาศในทีมตอนนี้ว่า
“ผมมีความสุขจริงๆ เพื่อเด็กๆ เพราะนี่คือช่วงเวลาที่เราต้องสวมเกราะแล้วเดินเข้าสนามรบ เราต้องอยู่กับสิ่งที่มี แต่เรายังเดินหน้าด้วยความกระตือรือร้น อยู่กันแบบเป็นหนึ่งเดียว และก้าวข้ามทุกอุปสรรคตรงหน้าให้ได้”
เขาไล่เรียงฟอร์มช่วงหลังของทีมด้วยว่า
“เราชนะทีมแกร่งอย่างอตาลันต้า จากนั้นก็ชนะคาราบัก ทีมเซอร์ไพรส์ในแชมเปียนส์ลีก และวันนี้เราคว้าชัยชนะที่น่าเชื่อถือในการบุกเยือนโรม่า เกมเหล่านี้คือข้อความสำหรับตัวเราเองเช่นกัน ว่าถ้าเราพยายาม เราทำได้”
เกมรับแน่นจนโรม่าได้ลุ้นจริงแค่จังหวะสุดท้าย
แม้สถิติการครองบอลของ โรม่า จะดูดี แต่โอกาสจะแจ้งจริงๆ แทบไม่มี จังหวะที่หวาดเสียวที่สุดของนาโปลีเกิดขึ้นเกือบนาทีสุดท้ายของเกม เมื่อโรม่าได้โอกาสยิงเน้นๆ จาก โตมมาโซ บัลดันซี ทว่า วานย่า มิลินโควิช-ซาวิช โชว์ซูเปอร์เซฟใช้มือเดียวปัดออกไปได้อย่างเหลือเชื่อ
ลูกนี้ทำให้ภาพรวมเกมรับของนาโปลีดูสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น เพราะก่อนหน้านั้นแนวรับแทบไม่เปิดพื้นที่ให้แนวรุกโรม่าทำอะไรได้ถนัด แม้เจ้าถิ่นจะพยายามเร่งเครื่องในช่วงท้ายก็ตาม
ตาราง เซเรียอา เดือดจัด ก่อนศึกใหญ่ดวลยูเวนตุส
ด้วยชัยชนะเกมนี้ นาโปลี ทะยานขึ้นไปยืนร่วมจ่าฝูง เซเรียอา คู่กับเอซี มิลาน โดยมีแต้มนำโรม่าและอินเตอร์แค่หนึ่งคะแนนเท่านั้น ขณะที่โบโลญญ่ายังมีโอกาสกระโดดขึ้นมาเกาะกลุ่มนำ หากสามารถเอาชนะเครโมเนเซ่ในเกมวันจันทร์ได้
และความกดดันยังไม่จบ เพราะสัปดาห์หน้าจะเป็นเกมใหญ่ที่คอนเต้ต้องนำทีมเปิดบ้านสตาดิโอ ดีเอโก้ อาร์มันโด มาราโดน่า รับมือหนึ่งในทีมเก่าของเขาอย่าง ยูเวนตุส ซึ่งเป็นอีกบททดสอบสำคัญของทั้งนาโปลีและตัวคอนเต้เองในเส้นทางป้องกันแชมป์
งานโค้ชยุคใหม่กับแรงกดดันที่ไม่มีคำว่า “ปิดเครื่อง”
ตอนท้าย คอนเต้ถูกถามให้เลือกคำมาบรรยาย “อาชีพโค้ช” ซึ่งคำตอบของเขาบอกเล่าความจริงของวงการฟุตบอลยุคปัจจุบันได้ชัดเจนแบบไม่ต้องแต่งเพิ่ม
“เอาจริงๆ ผมไม่แนะนำให้เพื่อนมาทำงานนี้เลย แต่ถ้าเป็นศัตรูนี่อาจจะชวนก็ได้… ผมว่ามันคืออาชีพที่ไม่น่าแนะนำที่สุดในโลก!”
คำพูดนี้สอดคล้องกับความเป็นจริงของฟุตบอลระดับท็อป ที่โค้ชต้องแบกทุกอย่างไว้บนบ่า ตั้งแต่แท็กติกในสนาม สภาพจิตใจนักเตะ การจัดการสื่อ ไปจนถึงความคาดหวังมหาศาลจากสโมสรและแฟนบอลทั่วโลก การมีช่วงพักสั้นๆ ในเบรกทีมชาติอย่างที่คอนเต้เลือกจึงเป็นหนึ่งในวิธีปกป้องทั้งตัวเองและทีมงาน เพื่อให้พร้อมลุยต่อในฤดูกาลที่ยาวไกล
ในฟุตบอลอิตาลี ทีมที่ยืนระยะลุ้นแชมป์ได้มักมี “ผู้นำ” ที่นิ่งแต่เด็ดขาดอยู่ข้างสนามเสมอ และคอนเต้ก็พยายามแสดงให้เห็นว่าประสบการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมาทั้งในอังกฤษและอิตาลี ยังทำให้เขาเป็นหนึ่งในกุนซือที่ไม่มีใครมองข้ามได้ในเกมระดับบิ๊กแมตช์
มุมมองจากบ้านกีฬา และสิ่งที่แฟนบอลต้องจับตาต่อไป
จากมุมมองของ บ้านกีฬา ชัยชนะเหนือโรม่าเกมนี้ไม่ได้แค่ยืนยันศักยภาพของ นาโปลี ในเชิงผลการแข่งขัน แต่ยังสะท้อน “ดีเอ็นเอทีมใหญ่” ที่แม้เจอวิกฤตตัวเจ็บก็ยังหาทางพลิกสถานการณ์ให้กลายเป็นพลังได้
แฟนบอลควรจับตาแท็กติก 3-4-2-1 ของคอนเต้ต่อจากนี้ ว่าจะยังรักษาความลงตัวได้แค่ไหนเมื่อคู่แข่งเริ่มจับทาง รวมถึงบทบาทของเนเรสและแม็คโทมิเนย์ที่จะยิ่งสำคัญขึ้นเรื่อยๆ ในการกำหนดทิศทางเกมรุกและเกมรับ ขณะเดียวกัน เกมใหญ่กับยูเวนตุสจะเป็นอีกเวทีสำคัญที่พิสูจน์ว่านาโปลีพร้อมแค่ไหนสำหรับการป้องกัน สคูเด็ตโต้ อย่างจริงจัง
แฟนบอลที่อยากตามทุกจังหวะของโลกลูกหนัง ไม่ว่าจะเป็นข่าวร้อนข้างสนาม คำพูดดุดันของกุนซือ หรือวิเคราะห์เกมเข้มข้นแบบจัดเต็ม อย่าลืมติดตามความเคลื่อนไหวมันส์ๆ ได้ที่ ข่าวกีฬาฟุตบอลบ้านกีฬา

