สโมสรฟุตบอลเชลซี Chelsea หรือที่คนไทยเรียกกันติดปากว่าสิงโตน้ำเงินครามและเดอะ บลูส์ ตั้งอยู่ภายในเมืองฟูแลม ทางฝั่งตะวันตกของลอนดอน ถูกจัดให้เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพที่แข่งขันในระดับพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นลีกที่สูงสุดในวงการฟุตบอลอังกฤษ ก่อตั้งขึ้นในปี 1905 มีสนามเหย้าเป็นสแตมฟอร์ด บริดจ์ และเป็นหนึ่งในสโมสรที่เคยประสบความสำเร็จมากที่สุดในอังกฤษ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ถึง 6 สมัย, เอฟเอคัพ 8 สมัย, ลีกคัพ 5 สมัย และเอฟเอคอมมิวนิตี้ชิลด์อีก 4 สมัย ส่วนการคว้าแชมป์ในระดับนานาชาติ คือ แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2 สมัย, ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 2 สมัย, ยูฟ่ายูโรปาลีก 2 สมัย, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2 สมัย และฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพอีก 1 สมัย จึงถือเป็นหนึ่งในสโมสรใหญ่ของอังกฤษที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุคหนึ่งเลยก็ว่าได้
ประวัติการก่อตั้งทีมอันยาวนาน ตั้งแต่ยุคเริ่มแรกในสมัยสงครามโลก
แอดไลน์ @Bankeela รับลิ้งดูบอล ทีเด็ด วิเคราะห์บอลจากทางบ้านกีฬา
ระยะเวลาที่ยาวนานกับประวัติที่น่าสนใจของสโมสรเชลซี เริ่มต้นจากการย้อนเวลากลับไปในปี ค.ศ. 1904 กัส เมียร์ส ได้ทำการซื้อสนามกรีฑาสแตมฟอร์ดบริดจ์ เพื่อที่จะปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นสนามฟุตบอล รวมไปถึงการยื่นข้อเสนอให้กับสโมสรฟูแล่มเพื่อที่จะทำการเช่าสนาม แต่ทว่ากลับถูกทางสโมสรปฏิเสธ ส่งผลให้เป็นการเริ่มต้นทำสโมสรและสนามด้วยตัวเองทั้งหมด และนี่เองที่ทำให้ปี ค.ศ. 1905 เกิดสโมสรชื่อเชลซี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ได้เริ่มต้นจะตั้งชื่อนี้ในครั้งแรก เพราะมีตัวเลือกของชื่อมากมาย เช่น สโมสรฟุตบอลเคนซิงตัน, สโมสรฟุตบอลสแตมฟอร์ดบริดจ์ และสโมสรฟุตบอลลอนดอน
จากข้อมูลจะเห็นได้ว่านำชื่อของสถานที่มาใช้ในการตั้งชื่อแทบทั้งหมด ต่อมาในวันที่ 10 เดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1905 ได้มีการจารึกไว้ว่าเปิดตัวสโมสรใหม่ชื่อเชลซี หลังจากก่อตั้งได้ไม่นานสามารถพัฒนาและเข้าสู่เส้นทางการแข่งขันฟุตบอลลีก ของประเทศอังกฤษได้ทันที ช่วยให้ประวัติของเชลซีเกิดความน่าสนใจมากขึ้น ในเวลานั้นความพร้อมและฐานะการเงินของสโมสรยังไม่ดีเท่าทุกวันนี้ การที่จะจ้างผู้จัดการทีมที่มีประสบการณ์ จึงไม่ใช่เรื่องที่ง่าย ทำให้ต้องใช้งานจอห์น รอเบิร์ตสัน ที่ในเวลานั้นเป็นนักเตะและรับหน้าที่ผู้จัดการทีมคนแรกไปพร้อมกัน โดยเส้นทางการแข่งขันฟุตบอลในลีก เริ่มจากดิวิชั่น 2 และใช้เวลาแค่ 1 ปีเท่านั้น สามารถขยับเลื่อนชั้นเข้าสู่ดิวิชั่น 1
แต่เมื่อขึ้นสู่ลีกที่ใหญ่มากขึ้น ความพร้อมและทักษะยังไม่สามารถสู้กับสโมสรอื่น ๆ ได้เลย ทำให้กลายเป็นแค่มาเก็บประสบการณ์เท่านั้น และนี่เองที่ทำให้ช่วงการเริ่มต้นของสโมสร จะต้องเลื่อนชั้นขึ้นและลงอย่างต่อเนื่อง ไม่สามารถที่จะพัฒนาและคงมาตรฐานเอาไว้ได้เลย จนในปี ค.ศ 1915 ได้มีโอกาสผ่านเข้าสู่รอบชิงฟุตบอลถ้วย FA CUP เป็นการเข้าสู่รอบลึกครั้งแรกของสโมสร แต่ก็ยังไม่ใช่ความสำเร็จ เนื่องจากเจอกับสโมสรเชฟฟีลด์ยูไนเต็ดที่โอลด์แทรฟฟอร์ด และแพ้ในนัดดังกล่าว แต่ทว่าในฤดูกาลเดียวกันนั้น สโมสรเชลซีสามารถจบอยู่ในลีกดิวิชั่น 1 เป็นอันดับที่ 3 และถือว่าเป็นอันดับที่ดีที่สุดอีกด้วย
กลายเป็นการผ่าตัดสโมสรครั้งใหญ่ มีแฟนบอลเพิ่มจำนวนมากขึ้น รวมไปถึงการนำนักเตะดาวรุ่งเข้ามาเพิ่มเติมความสามารถ โดยเข้าแข่งขันฟุตบอลลีกภายในประเทศถึง 10 ฤดูกาล หลังจากนั้นก็สามารถคงอยู่ในลีกสูงสุดได้ตลอดมา แต่ก็ไม่ใช่สโมสรที่สามารถเข้าลุ้นแชมป์ได้ตลอดเวลา เพราะไม่สามารถขึ้นคว้ารางวัลได้ และในลีกก็จบอันดับกลางตารางกับท้ายตารางเสมอ
การคว้าแชมป์รายการแรก กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ
การคว้าแชมป์รายการแรกของเชลซี ใช้ระยะเวลาเกือบ 50 ปี โดยในปี ค.ศ. 1952 มีการปรับเปลี่ยนหลายอย่างภายในสโมสรแห่งนี้ ช่วยให้มีความทันสมัยและยกระดับการเข้าแข่งขันได้มากขึ้น รวมไปถึงทีมงานที่เลือกใช้คนรุ่นใหม่ทั้งหมด จึงเข้ามาเปิดประสบการณ์ใหม่ได้เป็นอย่างดี มีการทำทีมเยาวชนและมุ่งมั่นในการฝึกซ้อม ช่วยให้ภาพรวมของสโมสรเปลี่ยนไปจากที่เคยเป็น การลงทุนซื้อตัวนักเตะที่มีชื่อเสียง ยิ่งทำให้ฟอร์มการเล่นโดยรวมดีขึ้นอย่างชัดเจน และผลจากการพัฒนาและเปลี่ยนแปลง ใช้เวลาหลังจากนั้น 2 ปี ภายในปี ค.ศ. 1954 ก็สามารถก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์รายการดิวิชั่น 1 ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ถือว่าในครั้งนี้ยิ่งใหญ่มากที่สุดในประเทศอังกฤษ
แต่ยังไม่หมดเท่านั้น เพราะเกือบเป็นทีมแรกที่สามารถได้รับโอกาสไปลงแข่งขันฟุตบอลถ้วยยุโรป หนึ่งในรายการที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกอย่างแท้จริง แต่ทว่าทุกอย่างกลับต้องหยุดลง เพราะทางสมาคมฟุตบอลของประเทศอังกฤษสั่งห้ามลงแข่งขัน จากเหตุความไม่สงบภายในประเทศ หลังจากนั้นก็ไม่มีการคว้าแชมป์อะไรเพิ่มเติมได้อีกเลย แต่มีการเปลี่ยนแปลงภายในสโมสรอีกครั้ง คือ การเข้ามาของผู้จัดการทีมคนใหม่ ทอมมี ดอเคอร์ตี้ ในเวลานั้นเป็นทั้งนักเตะและผู้จัดการทีม ได้ทำการขายนักเตะเก่าจำนวนมากออกไป
และหนึ่งในดีลการซื้อ-ขายและกลายมาเป็นประวัติศาสตร์ต้องจารึก คือ ปีเตอร์ ออสกู๊ด ที่มาเป็นตำนานของสโมสรเชลซีนั่นเอง หลังจากปรับเปลี่ยนนักเตะก็เห็นถึงความสำเร็จ ในปี ค.ศ. 1964-1965 จึงคว้าแชมป์ลีกคัพมาครองได้สำเร็จ และกลายเป็นการมุ่งมั่นคว้าแชมป์รายการอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น FA CUP หรือว่ายูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ และนี่เองที่เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสำเร็จของสโมสรอย่างแท้จริง
เจ้าของทีมคนใหม่ นำพาทีมสู่ความยิ่งใหญ่ที่สุด
การเปลี่ยนแปลงของสโมสรฟุตบอล โดยส่วนมากจะเริ่มต้นจากการเปลี่ยนผู้จัดการทีมคนใหม่ แต่ก็มีเรื่องของการเปลี่ยนเจ้าของทีมบ้างในบางครั้ย ซึ่งเชลซีก็มีเรื่องราวเหล่านี้ ที่พาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางทั้งดีขึ้นและแย่ลง โดยจะแบ่งเหตุการณ์ออกเป็น 2 ช่วง เริ่มต้นการเข้ามาของโรมัน อับราโมวิช เข้ามาซื้อในปี 2003 มหาเศรษฐีชาวรัสเซียสร้างการเปลี่ยนแปลงทีมที่หลากหลาย ช่วยเพิ่มเติมนักเตะหน้าใหม่ รวมไปถึงการซื้อนักเตะที่มีชื่อเสียง เหตุการณ์นี้ทำให้วงการฟุตบอลทั่วโลกมีการตื่นตัวอย่างมาก เพราะการใช้เงินทุนมหาศาลในการซื้อความสำเร็จ ทำให้สโมสรอื่น ๆ ที่ไม่มีเจ้าของทีมร่ำรวย เกิดกระแสการต่อต้านมากพอสมควร และมีการดันกฎทางการเงินในวงการฟุตบอลทั่วโลก
นี่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของสโมสรเชลซี เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ช่วยให้เกิดการคว้าแชมป์และกลายเป็นสโมสรที่อยู่ระดับสูงอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลานั้น โดยผลงานก็ไม่ต้องเสียเวลาทำทีมนาน เพราะใช้เวลาเพียง 1 ปีเท่านั้น ก็สามารถที่จะคว้าแชมป์แรกมาครองได้สำเร็จ ในปี 2004-2005 เป็นการคว้าแชมป์รายการพรีเมียร์ลีก และถือว่าเป็นการคว้าแชมป์แรกที่มีการเปลี่ยนชื่อจากเดิมอย่างดิวิชั่น 1 ให้กลายมาเป็นพรีเมียร์ลีกอย่างในปัจจุบัน และในปีเดียวกันนั้นเอง ยังสามารถคว้าแชมป์ FA CUP โดยการเอาชนะยอดทีมอย่างลิเวอร์พูลได้สำเร็จ กลายเป็นการคว้าดับเบิลแชมป์ครั้งแรกของสโมสร แต่ทุกอย่างก็จบลงเมื่อถึงปี 2022
เพราะการเปลี่ยนเจ้าของทีมครั้งนี้ ทอดด์ โบห์ลี นักธุรกิจชาวอเมริกัน ทำให้ทุกอย่างที่เคยดีและยิ่งใหญ่ ต้องกลายมาเป็นสโมสรอยู่ในกลางตาราง ฟอร์มการแข่งขันไม่คงที่ พลาดท่าแพ้ไปหลายนัดติดต่อกัน โดยการซื้อขายสโมสรมาจากสาเหตุกดดันของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ เนื่องจากเจ้าของเดิมมีเชื้อสายรัสเซีย ในเวลานั้นมีการทำสงครามระหว่างประเทศรัสเซียกับประเทศยูเครน ทำให้จำเป็นจะต้องขายและเปลี่ยนเจ้าของใหม่ จึงมีการเปลี่ยนผู้จัดการทีมบ่อยครั้ง การซื้อตัวนักเตะที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้พัฒนาภาพรวมของสโมสรได้เลย จึงทำให้กลับกลายเป็นการลงทุนที่เปล่าประโยชน์
จากจุดสูงสุดสู่จุดต่ำสุดของวงการฟุตบอลอังกฤษ เกิดอะไรขึ้นกับเชลซี?
ความยิ่งใหญ่ถูกลบเลือนออกไป คงเหลือไว้เพียงแค่ความตกต่ำของสโมสร เรื่องเหล่านี้สำหรับทุกสโมสรต้องเจออย่างแน่นอน ไม่เว้นกับทางเชลซี แต่กว่าที่จะอยู่ในเหตุการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ได้ เริ่มจากปี ค.ศ. 1970 เรียกได้ว่า ทุกอย่างเปลี่ยนจากดีกลายเป็นตกชั้น ไปแข่งขันในลีกรอง ไม่ว่าจะเปลี่ยนผู้จัดการทีมถึง 4 คน ด้วยกัน แต่กลับไม่สามารถกู้วิกฤตในครั้งนี้ได้เลย เช่น เอ็ดดี้ แม็คเครดี, เคน เชลลิโต, แดนนี บลานช์ฟลาวเวอร์ และเจฟฟ์ เฮิสต์ ในเวลานั้นภาพรวมของเชลซีจมอยู่ในตำแหน่งท้ายตารางเสมอ ไม่สามารถเก็บแต้มจากสโมสรอื่น ๆ ได้เลย และทุกอย่างก็เลวร้ายลงไป เพราะมีการตกชั้นลงไปสู่ดิวิชั่น 2
หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1982 ได้มีการเปลี่ยนเจ้าของสโมสรคนใหม่ ทำให้แฟนบอลจำนวนมากมีความหวังในการจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง โดยเคน เบตส์ เข้ามาพัฒนาสนามการแข่งขันให้ดีขึ้นและทันสมัย แต่ก็ยังไม่สามารถช่วยให้ฟอร์มของสโมสรเชลซีดีมากขึ้นเท่าไหร่นัก ทั้งยังเกือบที่จะตกชั้นลงไปเล่นในดิวิชั่น 3 อีกด้วย หลังจากที่ไม่มีอะไรแน่นอนมา 2 ปีเต็ม ก็ได้มีการพัฒนาและช่วยให้สโมสรคว้าแชมป์ดิวิชั่น 2 ได้สำเร็จ แต่ไม่ได้ฉลองนาน เพราะอีก 4 ปี สโมสรต้องตกชั้นกลับมาอยู่ที่เดิม เรียกได้ว่าภาพรวมเหมือนจะดีแต่ก็กลับแย่ลงเสมอ แต่ทว่าในปีเดียวเท่านั้น ก็สามารถทำให้สโมสรกลับเข้าสู่ลีกสูงที่สุดได้อีกครั้ง จึงถือเป็นการจบความตกต่ำของสโมสร เนื่องจากไม่มีการตกอันดับลงไปแข่งขันลีกรองอีกเลยนับจากนั้นมา
สรุปสถานการณ์ปัจจุบันของทีมเชลซี ในปี 2024 เป็นอย่างไร?
เห็นได้ว่าจากความยิ่งใหญ่ในยุค 2000 เวลานี้ สโมสรฟุตบอลเชลซียังคงตามหาชิ้นส่วนที่ขาดหายไป ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการทีม นักเตะมีชื่อเสียง หรือเจ้าของทีมรายใหม่ ด้วยชื่อชั้นและการพัฒนาอาจจะอยู่ในระดับสูงก็จริง แต่อันดับตารางคะแนนไม่สามารถที่จะเข้ามาเบียดแย่งแชมป์ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ลีกสูงที่สุดภายในประเทศ การแข่งขันบอลถ้วย FA CUP รวมไปถึงการแข่งขันฟุตบอลถ้วยใหญ่ของทางยุโรป แต่สำหรับแฟนบอลที่ติดตามผลงานมานาน จะเข้าใจว่าในเวลานี้อาจจะไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุด แต่ด้วยมาตรฐานและความมั่นคงทางการเงิน
เชื่อว่าถ้าถึงเวลาที่เหมาะสมจะสามารถกลับมายิ่งใหญ่ ทั้งในเวทีประเทศอังกฤษ และเวทีระดับยุโรปอย่างแน่นอน สรุปภาพรวมแล้วในฤดูกาล 2024-2025 เริ่มต้นได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะประสบกับปัญหาภายในไม่น้อย แต่ก็สามารถที่จะประคับประคองมาตรฐานการลงแข่งไว้พอได้ และในช่วงท้ายของฤดูกาลสามารถพัฒนาการเล่นบอลในสนาม และกลับมาจบอันดับที่ 6 ได้สำเร็จ ดังนั้นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ แห่งนี้ อาจจะต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเชื่อว่าแฟนบอลทุกคนพร้อมแล้วที่จะคอยสนับสนุนสโมสรแห่งนี้ตลอดไปแน่นอน