คืนแห่งความมั่นใจกลับมาสู่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อีกครั้ง หลังลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เปิดบ้านรัวดับ บอร์นมัธ 3-1 ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ โดยได้แรงขับเคลื่อนสำคัญจากการประสานงานสุดโหดของ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ และ ไรอ็อง แชร์กี้ ที่เล่นกันได้อย่างเข้าขารู้ใจจนแนวรับคู่แข่งแทบยืนไม่ติด
💥 ฮาแลนด์–แชร์กี้ จับมือพา “เรือใบ” แล่นฉิว
หลังเกมพ่าย แอสตัน วิลล่า ในนัดก่อน แมนฯ ซิตี้ กลับมาพร้อมเป้าหมายเดียวคือ “สามแต้มเต็ม” และพวกเขาทำได้ตามแผนตั้งแต่ต้นเกม แม้ช่วงต้นจะโดนทีมเยือนกดดันด้วยการเพรสซิ่งเร็วและเข้าปะทะหนัก แต่เมื่อผ่านครึ่งชั่วโมงแรก “เรือใบสีฟ้า” ก็เริ่มครองเกมและใช้จังหวะสวนกลับที่เฉียบขาดจัดการคู่แข่งได้อยู่หมัด
ประตูแรกของเกม เกิดขึ้นในนาทีที่ 39 จากจังหวะที่ นิโก้ กอนซาเลซ วางบอลยาวข้ามแนวรับไปถึง แชร์กี้ ที่โหม่งชงต่อให้ ฮาแลนด์ หลุดเดี่ยวก่อนซัดผ่านนายด่าน จอร์จี้ เปโตรวิช อย่างเยือกเย็น พาเจ้าถิ่นออกนำ 1-0
ลูกนี้คือการแสดงให้เห็นถึงการประสานงานที่สมบูรณ์แบบระหว่างคู่หูแนวรุกคนใหม่–เก่า ที่เริ่มเข้าขากันมากขึ้นทุกสัปดาห์
⚽ สถิติใหม่ของ “ฮาแลนด์” เครื่องจักรถล่มประตู
ประตูนี้กลายเป็นลูกที่ 12 ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ของฮาแลนด์ จากการลงเล่นเพียง 10 นัดเท่านั้น และนับรวมทุกรายการเจ้าตัวทำไปแล้ว 25 ประตูให้ทั้งสโมสรและทีมชาติ ซึ่งเป็นฟอร์มที่แรงต่อเนื่องจนแฟนบอลต้องขนานนามว่า “มนุษย์ต่างดาวแห่งเอติฮัด”
เจ้าตัวยังจารึกสถิติใหม่อีกครั้ง โดยมีเพียง เลส เฟอร์ดินานด์ (13 ประตูในปี 1995/96) และ ฮาแลนด์ในปี 2022/23 (15 ประตู) ที่เคยเริ่มต้นฤดูกาลได้ร้อนแรงกว่านี้เท่านั้น
🔥 บอร์นมัธไม่ยอมง่าย ตีไข่แตกแต่โดนสวนทันควัน
ทีมเยือนของ อันโดนี่ อิราโอล่า ไม่ถอดใจง่าย พวกเขาได้ประตูตีเสมอจากลูกเซ็ตพีซ เมื่อ ไทเลอร์ อดัมส์ ฉวยโอกาสจากความผิดพลาดของ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ส่งบอลเข้าประตู 1-1
แต่ความดีใจอยู่ได้ไม่นาน นาทีที่ 54 ฮาแลนด์ แผลงฤทธิ์อีกครั้ง หลุดกับดักล้ำหน้าในจังหวะสวนกลับ ก่อนล็อกหลบผู้รักษาประตูแล้วแปเข้าประตูโล่ง ๆ กลายเป็นประตูที่ 98 ของเจ้าตัวในพรีเมียร์ลีก และเป็น “เบิ้ล” ของเกมนี้อย่างสง่างาม
จากนั้น นิโก้ โอ’รีลลี่ย์ มาซัดปิดกล่องในนาทีที่ 60 จากการแอสซิสต์ของ ฟิล โฟเด้น ส่งผลให้เจ้าหนูวัย 20 ปีรายนี้ทำสถิติเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรที่ลงเล่นครบ 200 นัดในพรีเมียร์ลีก
🧠 กลยุทธ์ “เป๊ป” กลับมาสมบูรณ์แบบอีกครั้ง
หลังจบเกม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยอมรับว่า เกมนี้ทีมของเขาต้องเล่นอย่างรัดกุมที่สุดเพราะบอร์นมัธคือทีมที่เพรสหนักและเล่นเร็ว “เราต้องเล่นอย่างมีวินัยและทำงานร่วมกันให้มากที่สุด เพราะพื้นที่ตรงกลางแคบและพวกเขาไล่บอลเร็วมาก”
การกลับมาของแนวรุกเต็มสูบอย่าง โดกู, โฟเด้น, และ แชร์กี้ ทำให้ “เรือใบ” มีอาวุธโจมตีครบทุกทิศทาง การเล่นระหว่างไลน์กลางกับหน้าเป้าก็เฉียบกว่าเดิม โดยเฉพาะ แชร์กี้ ที่กลายเป็นตัวแทนของ เควิน เดอ บรอยน์ ได้อย่างกลมกลืน เขาทำสองแอสซิสต์ในเกมเดียว และตอนนี้กลายเป็นนักเตะจากลีกใหญ่ยุโรปเพียงคนเดียวที่จ่ายสองครั้งขึ้นไปในหลายเกมของฤดูกาล 2025
📊 เคล็ดลับแห่งชัยชนะ: คอนโทรลเกม-หาจังหวะสวนกลับ
หนึ่งในสิ่งที่เป๊ปปรับจูนได้อย่างลงตัวคือ “สมดุลระหว่างเกมรุกและรับ” หลังจากเกมพ่ายวิลล่าที่มิดฟิลด์คุมเกมไม่ได้ คราวนี้ซิตี้เน้นบีบพื้นที่ตรงกลางและสร้างความได้เปรียบเชิงจำนวนคน ซึ่งเปิดพื้นที่ให้ฟูลแบ็กเติมขึ้นมาสร้างโอกาส เช่นเดียวกับจังหวะประตูของโอ’รีลลี่ย์ ที่เกิดจากการดึงตัวประกบออกกลางสนามและเปิดช่องให้ยิงเต็มข้อ
ขณะเดียวกันคู่กลางอย่าง แบร์นาร์โด้ ซิลวา และ มาติอุส นูเนส ก็ทำหน้าที่ตัดเกมได้ดี โดยเฉพาะการประกบปิดจุดอันตรายของ แอนตวน เซเมนโย่ ดาวเตะตัวจี๊ดของบอร์นมัธ
🚀 โปรแกรมต่อไปของแมนฯ ซิตี้
ชัยชนะครั้งนี้ช่วยต่ออายุสถิติ ชนะรวด 9 นัดในบ้านต่อบอร์นมัธ ของแมนฯ ซิตี้ในพรีเมียร์ลีก และเสริมความมั่นใจก่อนเจอโปรแกรมหินในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ที่จะต้องดวลกับ ลิเวอร์พูล (9 พ.ย.), นิวคาสเซิ่ล (22 พ.ย.), ลีดส์ (29 พ.ย.), ฟูแล่ม (2 ธ.ค.), และ ซันเดอร์แลนด์ (6 ธ.ค.)
ส่วนบอร์นมัธเองยังไม่หมดไฟ พวกเขามีคิวหนักไม่แพ้กัน เริ่มจาก แอสตัน วิลล่า (9 พ.ย.), เวสต์แฮม (22 พ.ย.), ซันเดอร์แลนด์ (29 พ.ย.), เอฟเวอร์ตัน (2 ธ.ค.), และ เชลซี (6 ธ.ค.) ที่จะเป็นบทพิสูจน์จิตใจของลูกทีมอิราโอล่าอีกครั้ง
แฟนบอลพรีเมียร์ลีกเตรียมลุ้นกันต่อได้เลย เพราะศึกชิงจ่าฝูงและการไล่ล่าท็อปโฟร์กำลังเดือดขึ้นทุกสัปดาห์ และแน่นอน “เรือใบสีฟ้า” ของเป๊ปยังคงเป็นทีมที่ใครก็ห้ามประมาท
อย่าพลาดทุกข่าวร้อน ความเคลื่อนไหว และบทวิเคราะห์เด็ดจากศึกพรีเมียร์ลีก ติดตามได้ที่ ข่าวกีฬาฟุตบอลบ้านกีฬา เว็บไซต์ฟุตบอลของแฟนบอลตัวจริง
