ศาลแรงงานปารีสสั่งจบมหากาพย์ เปแอสเช ต้องจ่ายครบ 60 ล้านยูโร
ดราม่าที่ยืดเยื้อระหว่าง คีลิยัน เอ็มบัปเป้ กับอดีตต้นสังกัดอย่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง เดินมาถึงตอนจบ เมื่อ ศาลแรงงานปารีส มีคำตัดสินชัดเจนให้สโมสรดังจากเมืองหลวงฝรั่งเศสต้องจ่ายเงินค้างชำระ ทั้งในส่วน ค่าเหนื่อย และ โบนัส รวม 60 ล้านยูโร หรือราว 2,200 ล้านบาท คืนให้กับกองหน้าทีมชาติฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ ถือเป็นคำตัดสินที่สะเทือนทั้งวงการลูกหนังยุโรป และย้ำภาพว่าซูเปอร์สตาร์วัย 26 ปีไม่ได้ต่อสู้เพียงในสนามเท่านั้น แต่ยังชนะในโต๊ะกฎหมายอีกด้วย
ศาลระบุให้เปแอสเชต้องเคลียร์ยอดทั้งหมดที่ค้างอยู่ นับรวมทั้งเงินเดือนช่วงปลายสัญญาและโบนัสผลงานที่เอ็มบัปเป้ควรได้รับ แต่ไม่ได้รับเต็มจำนวนในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายแตกร้าว ก่อนเจ้าตัวจะย้ายไปร่วมทัพ เรอัล มาดริด แบบไม่มีค่าตัว
เบื้องหลังข้อพิพาทค่าเหนื่อย–การดอง และดีลอัล-ฮิลาลที่ไม่เกิดขึ้น
จุดเริ่มต้นของความขัดแย้งเกิดจากการที่เอ็มบัปเป้ปฏิเสธต่อสัญญาฉบับใหม่กับเปแอสเช และไม่ยอมย้ายไปเล่นให้ อัล-ฮิลาล ทีมดังจากซาอุดีอาระเบียในปี 2023 แม้จะมีข้อเสนอมหาศาลระดับโลกเข้ามาก็ตาม ส่งผลให้ฝ่ายสโมสรไม่พอใจอย่างหนัก
ช่วงเวลาดังกล่าว เอ็มบัปเป้ถูก “จับดอง” ถูกแยกซ้อมนอกทีมชุดใหญ่ และมีรายงานว่าบางส่วนของ ค่าเหนื่อย และ โบนัส เริ่มขาดหายหรือถูกชะลอการจ่าย ทำให้หัวหอกทีมชาติฝรั่งเศสตัดสินใจเดินหน้าใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย ยื่นเรื่องฟ้องร้องต่อศาลแรงงานเพื่อทวงเงินที่เขามองว่าเป็นสิทธิ์ตามสัญญา
ฝั่งนักเตะประเมินว่า ความเสียหายจากการถูกดอง การไม่ได้ลงเล่นอย่างเต็มที่ และเงินส่วนต่างที่ควรได้จากสัญญา รวมมีมูลค่าสูงถึง 263 ล้านยูโร (ประมาณ 9,731 ล้านบาท) ซึ่งสะท้อนชัดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ความน้อยใจ แต่คือการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความยุติธรรมในฐานะลูกจ้างคนหนึ่งในธุรกิจฟุตบอลระดับโลก
เปแอสเชไม่ถอยง่าย ฟ้องกลับ 240 ล้านยูโร
ด้าน เปแอสเช เองก็ไม่ได้นิ่งเฉย สโมสรตอบโต้ด้วยการยื่นฟ้องกลับ เอ็มบัปเป้ เป็นเงิน 240 ล้านยูโร (ประมาณ 8,880 ล้านบาท) โดยให้เหตุผลว่าเป็น “ค่าเสียหาย” จากการที่นักเตะไม่ยอมย้ายไปเล่นกับอัล-ฮิลาล ทั้งที่ข้อเสนอจากฝั่งซาอุฯ จะทำให้สโมสรได้รับค่าตัวก้อนมหาศาล
ท้ายที่สุดดีลกับอัล-ฮิลาลล่มลง เอ็มบัปเป้เลือกที่จะอยู่เล่นให้เปแอสเชต่อจนหมดสัญญา ก่อนย้ายไป เรอัล มาดริด แบบไร้ค่าตัวในเวลาต่อมา ซึ่งมุมมองจากสโมสรคือ พวกเขา “เสียโอกาสทำเงิน” จากการขายสตาร์เบอร์หนึ่งของทีม จึงเลือกเดินเกมทางกฎหมายบีบกลับ
อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลแรงงานพิจารณาเอกสาร ข้อเท็จจริง และเงื่อนไขในสัญญาต่างๆ ก็มีคำตัดสินออกมาในทางที่เข้าข้างนักเตะมากกว่า โดยเฉพาะในประเด็นเงินเดือนและโบนัสที่ยังไม่ได้รับเต็มจำนวน
คำตัดสินชัดเจน เปแอสเชต้องจ่ายค่าเหนื่อยและโบนัสที่ค้างทั้งหมด
ศาลแรงงานปารีสตัดสินชี้ว่า เปแอสเชต้องจ่าย ค่าเหนื่อยระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน ปี 2024 รวมถึงโบนัสที่ติดค้างทั้งหมด ให้กับเอ็มบัปเป้ เป็นจำนวนรวม 60 ล้านยูโร (ประมาณ 2,220 ล้านบาท) ซึ่งแม้จะไม่เท่ากับมูลค่าความเสียหาย 263 ล้านยูโรที่ทีมทนายประเมินในตอนแรก แต่ก็ถือเป็นชัยชนะทางกฎหมายที่มีน้ำหนักอย่างมากของฝ่ายนักเตะ
เฟรเดริค กาสเซรัว ทนายความของเอ็มบัปเป้ ให้สัมภาษณ์หลังทราบคำพิพากษาว่า
“เราพึงพอใจกับคำตัดสินในครั้งนี้ นี่คือสิ่งที่คุณคาดหวังได้เมื่อไม่มีการจ่ายเงินเดือน”
คำให้สัมภาษณ์นี้สะท้อนชัดว่า เป้าหมายหลักของทีมทนายคือการยืนยันหลักการพื้นฐานว่า เมื่อมีการทำสัญญาและมีการทำงานเกิดขึ้น สโมสรย่อมต้องปฏิบัติตามสัญญาเรื่องการจ่ายเงินอย่างเคร่งครัด ไม่ใช่ใช้มาตรการกดดันด้วยการหยุดจ่ายหรือจ่ายไม่ครบ
เงิน 60 ล้านยูโรที่มากกว่าตัวเลข คือสัญญาณเตือนวงการลูกหนัง
ตัวเลข 60 ล้านยูโรอาจถูกมองว่าเป็น “เศษเงิน” สำหรับบางสโมสรระดับมหาเศรษฐี แต่ในมุมมองกว้างของวงการลูกหนัง นี่คือสัญญาณเตือนที่ดังมากเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสโมสรและนักเตะในยุคที่ฟุตบอลกลายเป็นธุรกิจเต็มรูปแบบ
การที่ซูเปอร์สตาร์ระดับเอ็มบัปเป้ต้องไปฟ้องต่อศาลแรงงาน แสดงให้เห็นว่าแม้จะเป็นนักเตะค่าจ้างมหาศาล แต่เมื่อเกิดกรณีพิพาทเรื่องสัญญา เขาก็ต้องใช้ช่องทางเดียวกับแรงงานทั่วไป ไม่ต่างจากพนักงานบริษัทในสายอาชีพอื่นๆ คำตัดสินในครั้งนี้จึงเป็นเหมือน “กรณีศึกษา” ที่ทุกสโมสรต้องนำไปทบทวนว่าการจัดการกับนักเตะ แม้ในช่วงที่มีปัญหากัน ก็ยังต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายแรงงานอย่างเคร่งครัด
สิทธิแรงงานนักเตะอาชีพกับฟุตบอลยุคสัญญามูลค่ามหาศาล
ฟุตบอลยุคใหม่เต็มไปด้วยสัญญาที่ซับซ้อน ทั้งค่าเหนื่อย โบนัสจากผลงาน ค่าภาพลักษณ์ และเงื่อนไขพิเศษมากมาย หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้ความได้เปรียบทางอำนาจเหนือกว่าอีกฝ่ายเกินขอบเขต ก็มักจะลงเอยที่โต๊ะกฎหมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กรณีของเอ็มบัปเป้ตอกย้ำให้เห็นว่า นักเตะไม่ใช่แค่ “ทรัพย์สินของสโมสร” แต่คือแรงงานที่มีสิทธิและศักดิ์ศรีในที่ทำงานเหมือนทุกคน การทำสัญญาจึงไม่ใช่แค่ตัวเลขบนกระดาษ แต่คือภาระผูกพันที่ทั้งสองฝ่ายต้องเคารพ หากสโมสรใดละเลยเรื่องนี้ ไม่ว่าทีมจะใหญ่แค่ไหน ก็เสี่ยงต่อการถูกตัดสินให้แพ้คดีและต้องจ่ายแพงทั้งเงินและชื่อเสียง
หลังชนะคดี เอ็มบัปเป้โฟกัสอนาคตในสีเสื้อเรอัล มาดริด
การปิดฉากคดีความกับเปแอสเชด้วยชัยชนะในชั้นศาล ทำให้เอ็มบัปเป้สามารถหันไปโฟกัสกับบทบาทใหม่ในถิ่นซานติอาโก้ เบร์นาเบวได้เต็มที่ มากกว่าต้องแบ่งสมาธิไปสนใจเรื่องคดีความและเอกสารทางกฎหมาย
สำหรับแฟนบอลชาวไทย นี่คืออีกหนึ่งเคสสำคัญที่ย้ำให้เห็นด้าน “นอกสนาม” ของฟุตบอลว่าเข้มข้นไม่แพ้เกมในสนามจริงๆ ซูเปอร์สตาร์หนึ่งคนไม่ได้เผชิญแค่แรงกดดันจากการทำประตูหรือพาทีมชนะ แต่ยังต้องรับมือเกมการเมืองภายในสโมสรและประเด็นทางกฎหมายที่มีเงินระดับหลายพันล้านบาทเป็นเดิมพัน
ใครที่อยากตามทุกดราม่า ทั้งในสนามและนอกสนามของโลกฟุตบอลยุโรป รวมถึงความเคลื่อนไหวของซูเปอร์สตาร์ระดับโลกแบบใกล้ชิด อย่าลืมติดตามข่าวเด่น ข่าววันนี้ และเรื่องราวมันส์ๆ ได้ที่ ข่าวกีฬาฟุตบอลบ้านกีฬา

