ต่อให้เป็นดาวรุ่งก็ไม่รอด! อาร์เบลัวฟาดแรงใส่มาร์ติเนซ เขย่าอะคาเดมี่ราชันชุดขาว

ดูบอลสด ดูบอลออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง

ฉากดราม่าที่มาดริด: โค้ชด่าเด็กตัวเองกลางสื่อ

ไฟในศูนย์ฝึกเยาวชนของ เรอัล มาดริด ลุกโชนทันที หลังมีคลิปและคำให้สัมภาษณ์ของ อัลบาโร่ อาร์เบลัว ออกสู่สาธารณะ เมื่อกุนซือทีมสำรอง กาสตีย่า ออกมาวิจารณ์ลูกทีมตัวเองอย่าง โจน มาร์ติเนซ แบบตรงไปตรงมา จนแฟนบอลทั่วโลกอ้าปากค้าง แม้คนที่รู้จักอาร์เบลัวดีจะไม่แปลกใจนัก เพราะนี่คือสไตล์ดิบ เถื่อน ตรง แรง ตามฉบับ “เดอะ สปาร์ตัน” ของมาดริด แต่สำหรับสายตาคนนอก มันคือหนึ่งในคำด่าที่หนักหน่วงที่สุดที่โค้ชเคยใช้กับเด็กอะคาเดมี่ตัวเองในที่สาธารณะ

เบื้องหลังดราม่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องโค้ชด่าลูกทีมธรรมดา แต่เกี่ยวพันกับอนาคตแนวรับของมาดริด การเงินของสโมสร และเส้นทางของกองหลังดาวรุ่งที่ถูกวางตัวให้เป็น “คลื่นลูกใหม่” แทนบรรดาตัวเก๋าในอนาคตอันใกล้

อาร์เบลัวไม่ใช่แค่แบ็กขวาธรรมดา ทำไมคำพูดเขาถึงหนักน้ำหนัก

ก่อนจะไปถึงคำด่า ลองย้อนไปดูโปรไฟล์ของ อาร์เบลัว กันสักหน่อย เขาไม่ใช่แค่แบ็กขวาธรรมดาที่เคยเล่นให้ ลิเวอร์พูล และ เรอัล มาดริด แต่เป็นหนึ่งในนักเตะที่ “กวาดมาหมดทุกแชมป์” ทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ สมัยค้าแข้งเขามีส่วนร่วมกับทีมชาติสเปนคว้าแชมป์ยุโรป 2 สมัย และฟุตบอลโลก 1 สมัย ขณะเดียวกันกับสโมสร ก็เคยสัมผัสแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกกับมาดริด รวมถึงเข้ารอบลึกๆ กับ ลิเวอร์พูล ในยุคของ ราฟา เบนิเตซ อยู่หลายครั้ง

คนแบบนี้ พอผันตัวมาเป็นโค้ช ย่อมไม่ใช่สายโลกสวยอยู่แล้ว จุดอ่อนในสายตาคนอื่น กลับกลายเป็น “อาวุธ” ของเขาเอง เพราะอาร์เบลัวขึ้นชื่อเรื่องความตรงไปตรงมา ไม่กลัวกระทบใคร พูดทุกอย่างแบบไม่อ้อมค้อม และถ้าเขาเห็นว่าอะไรไม่ถึงมาตรฐาน เขาก็พร้อมจะตำหนิแบบไม่หันหลังมองหน้าใครทั้งนั้น

วันนี้เขาคุมทีม กาสตีย่า ดูแลเหล่าเพชรเม็ดงามใน อะคาเดมี่ เรอัล มาดริด ซึ่งเป็นสมบัติชิ้นสำคัญของสโมสร เพราะเด็กเหล่านี้ถูกมองว่าอาจขึ้นไปอุดช่องโหว่ทีมชุดใหญ่ในอนาคต โดยไม่ต้องจ่ายค่าตัวหลายสิบล้านยูโร

หนึ่งในนั้น คือคนที่ชื่อว่า โจน มาร์ติเนซ

โจน มาร์ติเนซ คือใคร? ทำไมถูกวางให้เป็น “เจนใหม่” ของแนวรับราชัน

โจน มาร์ติเนซ คือเซนเตอร์ฮาล์ฟดาวรุ่งที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “El Relevo” หรือ “การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่” ของวงการลูกหนังสเปน เด็กหนุ่มหุ่นสูงเพรียวราว 6 ฟุต 3 นิ้ว เล่นบอลดูนิ่ง เนี๊ยบ และมีสไตล์แบบกองหลังยุคใหม่ที่คุมพื้นที่ด้านหลังได้ดี แถมยังออกบอลจากแนวรับได้เนียนตา

เบื้องหลังทั้งหมดนี้มีบริบทสำคัญอยู่ที่ด้านการเงินของมาดริด ปัจจุบันสโมสรยังมีภาระหนี้และโปรเจกต์ลงทุนใหญ่ ทั้งสนามซานติอาโก้ เบร์นาเบวใหม่และการเสริมทัพระดับซูเปอร์สตาร์ ทำให้มีข่าวว่า ฟลอเรนติโน่ เปเรซ อาจเสนอมาตรการครั้งใหญ่ในที่ประชุมใหญ่ของสโมสร ให้เปิดรับนักลงทุนภายนอก และเปลี่ยนจากสโมสรที่บริหารโดยสมาชิก มาเป็นบริษัทมหาชนที่ขายหุ้นบางส่วน เพื่อระดมทุนราว 1 พันล้านยูโร แลกกับการถือหุ้นประมาณ 10%

เงินก้อนนี้จะช่วยให้สโมสรเดินเครื่องต่อได้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง มาดริดก็ต้องคิดให้รอบคอบกับการใช้เงินในตำแหน่งกองหลัง โดยเฉพาะเมื่อ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ และ ดาวิด อลาบา ต่างอายุแตะ 32–33 ปี มีอาการบาดเจ็บรบกวนบ่อย และที่สำคัญคือกำลังจะหมดสัญญาพร้อมกันเมื่อจบฤดูกาลนี้

นี่คือสถานการณ์แบบ “จะเก็บหรือจะเสี่ยง” ถ้าจะเก็บก็ต้องต่อสัญญากับกองหลังวัยสามสิบปลายที่ร่างกายเริ่มโรย แต่ประหยัดค่าตัวแข้งใหม่ ถ้าจะเสี่ยงก็ต้องปล่อยอย่างน้อยหนึ่งคน แล้วเทงบก้อนโตซื้อกองหลังระดับท็อปเข้ามาแทน เหมือนเล่นแบล็กแจ็กที่ไม่รู้ว่าจั่วไพ่ใบต่อไปจะได้แต้มชนะหรือแต้มบอด

แผน A – แผน B ของแนวรับมาดริดในยุคเปลี่ยนผ่าน

สิ่งที่ทำให้เคสของมาร์ติเนซน่าสนใจคือ มาดริดไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวในตำแหน่งนี้ ทีมยังมีดาวรุ่งอีกคนคือ จาโคโบ รามอน ที่กำลังไปได้สวยในเซเรีย อา ภายใต้การคุมทีมของ เชส ฟาเบรกาส กับสโมสรโคโม่ในสัญญายืมตัว ฤดูกาลนี้เขาถูกมองว่าอาจกลายเป็น “แผน A” ในการกลับมากดดันตัวจริงทีมชุดใหญ่

ส่วนมาร์ติเนซ จึงอาจถูกวิเคราะห์ว่าเป็น “แผน B” หรือ “แผน A ลบ” แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขามีศักยภาพน้อยกว่า เพียงแค่เส้นทางพัฒนาและจังหวะโอกาสต่างกันเท่านั้น และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมทุกคำพูดของอาร์เบลัวที่กล่าวถึงเขา จึงสะท้อนถึงความคาดหวังสูงลิ่ว

ถ้าเด็กคนนี้แจ้งเกิดได้จริง มาดริดอาจไม่จำเป็นต้องทุ่มค่าตัวหนักๆ ซื้อกองหลังอย่าง จาร์ราด แบรนธ์เวต จากเอฟเวอร์ตัน หรือ อิบราฮิมา โกนาเต้ ที่มีโอกาสย้ายออกจากลิเวอร์พูลแบบฟรีค่าตัวในช่วงซัมเมอร์หน้า การปั้นมาร์ติเนซให้สำเร็จ จึงแทบจะเท่ากับการประหยัดเงินหลายสิบล้านยูโรในตลาดซื้อขาย

เส้นทางแจ้งเกิด – บาดเจ็บ – กลับมาเริ่มใหม่ของมาร์ติเนซ

ย้อนกลับไปเมื่อปีเศษๆ รีวิวของกองหลังดาวรุ่งรายนี้เรียกได้ว่า “สุดปลายทาง” อยู่ระหว่างเป็นโคตรดาวรุ่ง หรือไม่ก็กลายเป็นความคาดหวังที่พังทลาย เพราะเสียงชมเชยดังสนั่นตั้งแต่เขายังอายุแค่ 16 ปี

มาร์ติเนซได้ประเดิมทีมชุดใหญ่ของ เรอัล มาดริด นัดอุ่นเครื่องพบ เอซี มิลาน ที่ชิคาโก้ ในทัวร์ปรีซีซั่นเดือนสิงหาคม 2024 วันนั้นคาร์โล อันเชล็อตติ ถึงกับออกโรงชมด้วยตัวเองว่า
“Joan มีศักยภาพ เขายังอายุน้อยมาก แต่เขามีทุกอย่างที่กองหลังตัวกลางต้องการ: เล่นกับบอลได้ดี และใส่ใจรายละเอียดอย่างมาก

เขาอาจมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่กับเรอัล มาดริด จนถึงตอนนี้ อะคาเดมี่ของเราทำงานได้ยอดเยี่ยมมากกับเขา เพราะเขาเก่งมากจริงๆ”

ไม่ใช่แค่โค้ชใหญ่เท่านั้นที่ปลื้มใจ ลูคัส บาซเกซ เพื่อนร่วมทีมในวันนั้นก็เสริมถึงแข้งรุ่นน้องว่า
“ตอนผมอายุ 16 ผมยังไม่ถึงระดับนั้นเลย… เขาเป็นเด็กที่สุดยอดมาก เขาเล่นได้ดีมากในวันนี้ เขาคือกองหลังตัวกลางที่มีศักยภาพมหาศาล และพวกเราทุกคนจะพยายามช่วยเขาให้พัฒนาต่อไป”

ทุกอย่างดูเหมือนจะไหลไปในทิศทางที่ใช่สำหรับเด็กวัย 16 ปี แต่แล้วเขากลับโชคร้ายได้รับบาดเจ็บเอ็นไขว้หน้าหัวเข่าฉีก ต้องพักยาวเกือบหนึ่งปี พอหายกลับมา เขาค่อยๆ เร่งเครื่องด้วยการลงเล่นให้สโมสรและทีมชาติในระดับเยาวชนจนกลับเข้ารูปเข้ารอย และในวันนี้ เขาอยู่ภายใต้การดูแลของโค้ชที่ดุดันที่สุดคนหนึ่งในระบบเยาวชนของสโมสร – อาร์เบลัว

เหตุการณ์เดือดหลังเกมชนะ 2-0 จุดชนวนคำวิจารณ์ทั่วสเปน

จุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดมาจากเกมที่ กาสตีย่า เอาชนะ CP คาเซเรโญ่ 2-0 ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังเกมนั้น อาร์เบลัวขึ้นโต๊ะแถลงข่าว และแทนที่จะชมลูกทีม เขากลับ “รื้อ” มาร์ติเนซออกมาวิจารณ์แบบละเอียด ทั้งๆ ที่เด็กคนนี้ลงเล่นตัวจริงมาตลอด และอยู่ในสนามกว่า 95% ของนาทีทั้งหมดในลีกซีซันนี้

คำพูดของเขาไม่เพียงตรงไปตรงมา แต่ยังเจ็บลึกในระดับที่แฟนบอลหลายคนฟังแล้วถึงกับกลั้นหายใจ

อาร์เบลัวกล่าวว่า
“[มาร์ติเนซ] เป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์มาก แต่เขายังมีเส้นทางอีกยาวไกลให้ต้องเดิน จุดเริ่มต้นคือเขาต้องซ้อมให้หนักกว่าที่ทำอยู่ตอนนี้ ต้องมีสมาธิและความเข้มข้นมากกว่านี้

ถ้าเขาต้องการเป็นนักเตะของเรอัล มาดริด เขาต้องเข้าใจว่าความต้องการของตำแหน่งนี้สูงมาก สิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เขากลายเป็นนักเตะทีมชุดใหญ่ และจนกว่าเขาจะตระหนักถึงเรื่องนั้น เขาก็จะเป็นผู้เล่นที่ดีสำหรับกาสตีย่า แต่ระดับสูงกว่านั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เรากำลังพยายามทำให้เขาเข้าใจว่าเขาต้องเป็นมืออาชีพ และต้องซ้อมในระดับสูงสุดทุกวัน นั่นคือจุดที่เขาต้องก้าวกระโดดครั้งใหญ่เพื่อเป็นนักเตะเรอัล มาดริด เพราะเขามีพรสวรรค์ มีเทคนิค มีสภาพร่างกาย และมีทัศนคติ… แต่สิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้ยังไม่เพียงพอ”

นี่คือถ้อยคำที่ทั้งตรงและแรงพอจะทำให้ใครหลายคน “สะดุ้ง” ได้ในทันที

โค้ชด่าเด็กกลางสื่อ ผิดหรือถูก? มุมมองที่แตกออกเป็นสองฝั่ง

คำถามที่แฟนบอล นักวิเคราะห์ และคนในวงการลูกหนังถกกันไม่หยุดคือ “โค้ชควรด่านักเตะต่อหน้าสื่อขนาดนี้ไหม?” สำหรับบางคน นี่คือมาตรการขั้นสุดท้าย เมื่อการเตือนในห้องแต่งตัวไม่เกิดผล การด่าต่อหน้าสาธารณะอาจเป็นเหมือนการ “ปลุกให้ตื่น” ให้เด็กตระหนักว่ามาตรฐานของสโมสรระดับ เรอัล มาดริด ไม่ใช่เล่นๆ

แต่ถ้านี่คือ “ไม้สุดท้าย” ก็ชวนให้สงสัยว่า ก่อนหน้านี้มาร์ติเนซอาจถูกเตือนมาหลายรอบแล้วแต่ยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรม หรือในทางกลับกัน ถ้าไม่ใช่ไม้สุดท้าย ก็ต้องถามว่าอาร์เบลัวแรงเกินไปหรือไม่ ที่เลือกใช้เวทีสื่อมวลชนเป็นที่ลงโทษเด็กอายุ 17–18 ปีแบบนี้

ไม่ว่าจะมองมุมไหน เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนชัดเจนว่า ในสายตาของอาร์เบลัว “เส้นแบ่งระหว่างนักเตะเยาวชนกับว่าที่นักเตะชุดใหญ่” อยู่ที่ระดับความเป็นมืออาชีพและความเข้มข้นในการซ้อม ไม่ใช่แค่เรื่องพรสวรรค์อย่างเดียว

“เดอะ สปาร์ตัน” ตัวจริง: เบื้องหลังนิสัยดิบและสงครามลูกหนังในอดีต

ฉายา “สปาร์ตัน” ที่สื่อสเปนและแฟนบอลสายฮาร์ดคอร์ของมาดริดใช้เรียกอาร์เบลัว ไม่ได้มาแบบลอยๆ เขาเกิดในเมืองเดียวกับ บิเซนเต้ เดล บอสเก้ เมืองประวัติศาสตร์ที่ได้รับการคุ้มครองโดยยูเนสโก้ แต่เส้นทางอาชีพของเขากลับเต็มไปด้วยสงคราม ความขัดแย้ง และการปกป้องตราสโมสรแบบสุดขั้ว

ยุคที่โชเซ่ มูรินโญ่ คุม เรอัล มาดริด และเปิดศึก “เอล กลาซิโก้” แบบดุเดือดกับบาร์เซโลน่า อาร์เบลัวคือหนึ่งในมือขวาคนสำคัญที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ หนึ่งในเหตุการณ์ที่ถูกพูดถึงจนถึงทุกวันนี้ คือเกมชิงชนะเลิศโกปา เดล เรย์ ปี 2011 ที่มาดริดชนะด้วยลูกโหม่งของคริสเตียโน่ โรนัลโด้ เกมนั้นถูกขนานนามว่า “Battle of Mestalla” เพราะเกิดที่สนามเมสตาย่าของบาเลนเซีย และมีหลายจังหวะปะทะเดือด หนึ่งในนั้นคือภาพอาร์เบลัวเหยียบขา ดาบิด บีย่า อย่างชัดเจน

ผลลัพธ์คือ มาดริดคว้าแชมป์ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างนักเตะมาดริด–บาร์ซ่าหลายคนที่เคยสนิทกันในทีมชาติ กลับแตกร้าวไปพักใหญ่

ยังไม่หมด ในสารคดีฉลองแชมป์ฟุตบอลโลก 2010 ของทีมชาติสเปน อาร์เบลัวยังเคยให้สัมภาษณ์ในโทนน้ำเสียงตรงและค่อนข้างรุนแรงจนทำให้เขากับ อีเคร์ กาซิยาส ถึงขั้นไม่คุยกัน
เขายอมรับเองว่าทั้งคู่เคย “two years without exchanging a single word” ขณะยังเล่นร่วมกันในถิ่นเบร์นาเบว

ความขัดแย้งที่โด่งดังอีกเคส คือสงครามคำพูดกับเคราร์ด ปิเก้ กองหลังบาร์เซโลน่า ที่เคยเหน็บแนมอาร์เบลัวแบบเจ็บลึกถึงขั้นบอกว่าอดีตเพื่อนร่วมทีมชาติคนนี้มีสกิลฟุตบอล “ไม่ต่างจากกรวยซ้อม” แถมยังออกมาพูดในที่สาธารณะอีกต่างหาก ถึงขั้นพูดในปี 2015 ว่า
“เขาไม่ใช่เพื่อน เขาเป็นแค่คนที่ฉันรู้จักเท่านั้น”

ส่วนตัวอาร์เบลัวเองก็เคยอธิบายทัศนคติของตัวเองไว้ชัดใน El Mundo ว่า
“ในเกมลา ลีกา คุณไม่มีเพื่อนหรอก ทัศนคติของผมต่อคู่แข่งคือ ‘ผมจะไม่ปล่อยให้คุณได้พักเลย’ บางอย่างคุณจะทำหนักขึ้นเมื่ออยู่ในเกมที่ตึงเครียดที่สุด แต่โดยรวมแล้ว แนวคิดของผมคือทำให้คู่แข่งหงุดหงิดให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้.”

นั่นคือดีเอ็นเอของเขาในฐานะนักเตะ และดูเหมือนจะถูกถอดแบบมาสู่การเป็นโค้ชเต็มๆ

จากสนามหญ้าสู่ข้างสนาม: โค้ชสายไฟลุกและศึกเดือดกับตอร์เรส

การเป็นโค้ชไม่ได้ทำให้อาร์เบลัวใจเย็นลงเท่าไหร่ เหตุการณ์ที่ตอกย้ำภาพลักษณ์โค้ชสายเดือดคือเกมบอลถ้วยรุ่นเยาวชนเมื่อปี 2023 ที่ทีมเยาวชนมาดริดเจอกับอะคาเดมี่ของแอตเลติโก มาดริด ซึ่งคุมทีมโดย เฟร์นานโด ตอร์เรส อดีตเพื่อนร่วมทีมชาติและลิเวอร์พูลของเขา

เกมนั้นทั้งสองคนมีปากเสียงกันรุนแรงจนต้องถูกกันออกจากกัน มีจังหวะที่ตอร์เรสตะโกนว่า “I’ll take your head off!” ก่อนที่อาร์เบลัวจะสวนกลับว่า “Let’s go! Start whenever you want!” แม้ภายหลังทั้งคู่จะคืนดีกันแล้ว แต่ภาพนี้ก็สะท้อนชัดว่าเขาไม่ใช่คนประเภทถอยหนีจากความขัดแย้งง่ายๆ

ถึงอย่างนั้น ช่วงท้ายอาชีพนักเตะของอาร์เบลัวก็ได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมทีมอย่างสูง เกมสุดท้ายกับ เรอัล มาดริด เขาเดินออกจากสนามท่ามกลางแถว “การ์ดออฟออนเนอร์” จากคริสเตียโน่ โรนัลโด้, คาริม เบนเซม่า, ลูก้า โมดริช, โทนี่ โครส, เซร์คิโอ รามอส และซูเปอร์สตาร์อีกหลายคน เพราะทุกคนรู้ดีว่าเขาคือทหารเสือที่ซื่อสัตย์และทุ่มเทให้ตราสโมสรอย่างแท้จริง

สิ่งที่มาร์ติเนซควรเรียนรู้ และบทเรียนสำหรับเด็กอะคาเดมี่ทั่วโลก

ในมุมมองของแฟนบอล การโดนด่าแบบนี้อาจดูโหดร้าย แต่สำหรับโลกของฟุตบอลอาชีพ โดยเฉพาะสโมสรใหญ่ระดับมาดริด มันคือ “ความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” ดาวรุ่งไม่ได้ถูกประเมินจากพรสวรรค์เพียงอย่างเดียว แต่ถูกวัดจากวินัย ความทุ่มเทในทุกวันซ้อม และความพร้อมจะยกระดับตัวเองขึ้นสู่มาตรฐานทีมชุดใหญ่

ทุกวันนี้ หลายสโมสรยุโรปพยายามสร้างสมดุลระหว่างการปกป้องสภาพจิตใจของดาวรุ่ง กับการผลักดันให้พวกเขาเข้าใจว่า โลกฟุตบอลจริงๆ แข็งกร้าวและโหดกว่าระดับเยาวชนมาก การถูกโค้ชตำหนิอย่างหนักต่อหน้าสื่ออาจกลายเป็น “จุดหักเห” ที่ทำให้บางคนถอยหลัง แต่ก็อาจเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่ทำให้อีกหลายคนกลายเป็นแข้งระดับท็อปของโลก

สำหรับมาร์ติเนซ เขาอยู่ในวัยที่ยังมีเวลาปรับตัว สร้างร่างกายให้แข็งแกร่งขึ้น เพิ่มโฟกัสในทุกเซสชันซ้อม และพิสูจน์ให้ทั้งอาร์เบลัวและทีมงานเห็นว่า เขาไม่ได้มีดีแค่คำชมจากเกมอุ่นเครื่องเมื่ออายุ 16 ปี แต่พร้อมจะกลายเป็นกองหลังตัวจริงของ เรอัล มาดริด ในอนาคต

ทางแยกสำคัญของมาร์ติเนซ และสายตาที่จับจ้องจากแฟนบอลราชันชุดขาว

ท้ายที่สุด อนาคตของ โจน มาร์ติเนซ อยู่ในมือเขาเองทั้งหมด เขาอาจเลือกแบบที่บทเรียนในประวัติศาสตร์ลูกหนังสอนเรา – รับคำวิจารณ์แบบตรงไปตรงมา น้อมรับ ปรับปรุง และกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิม จนทำให้โค้ชต้องยอมรับ หรือจะเลือกเดินอีกเส้นทางแบบในอดีตของอาร์เบลัวเอง คือ “ลุกขึ้นสู้” ปะทะกับโค้ช ไปจนถึงจุดแตกหัก

แต่ไม่ว่าทางไหน แฟนบอลทั่วโลก โดยเฉพาะสาวกมาดริดิสต้า ก็คงจะจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าดาวรุ่งคนนี้จะตอบสนองต่อ “หมัดคำพูด” ของอาร์เบลัวอย่างไร เพราะถ้าเขารอดจากบททดสอบนี้ได้ เขาอาจกลายเป็นหนึ่งในกองหลังยุคใหม่ที่แบกแนวรับราชันในยุคหลัง รูดิเกอร์–อลาบา ก็เป็นได้

แฟนบอลชาวไทยที่ติดตามข่าวฟุตบอลยุโรป ถ้าอยากรู้ว่าดราม่าในอะคาเดมี่ระดับโลกจะจบลงแบบไหน อย่าละสายตาไปจากชื่อ โจน มาร์ติเนซ และแน่นอน ถ้าอยากเกาะทุกกระแสเดือดในโลกลูกหนังแบบนี้ ห้ามพลาดติดตามอัปเดตจาก ข่าวกีฬาฟุตบอลบ้านกีฬา เราจะพาไปเจาะลึกให้ถึงเบื้องหลังทุกเรื่องราวเสมอ

ตรวจหวย 24 ชั่วโมง หวยลาว หวยฮานอย

แอดไลน์ @Bankeela รับลิ้งดูบอล ทีเด็ด วิเคราะห์บอลจากทางบ้านกีฬา