กัมบะ โอซาก้า ทีมยักษ์ใหญ่แห่งศึก เจลีก 1 ญี่ปุ่น เดินหน้าเสริมแกร่งเชิงบริหารเต็มสูบ หลังประกาศแต่งตั้ง ฮิโรคัตสึ มิคามิ อดีตผู้อำนวยการและผู้จัดการทั่วไปของ ฮอกไกโด คอนซาโดเล่ ซัปโปโร เข้ารับตำแหน่ง ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนา เพื่อยกระดับมาตรฐานทีมทั้งระบบในฤดูกาลหน้า
ฮิโรคัตสึ มิคามิ – ผู้บริหารมากประสบการณ์แห่งวงการลูกหนังญี่ปุ่น
มิคามิ วัย 54 ปี คือหนึ่งในชื่อที่ได้รับการยอมรับสูงในวงการฟุตบอลแดนอาทิตย์อุทัย ด้วยผลงานการสร้างระบบสโมสรที่มั่นคงและมีเอกลักษณ์กับ ซัปโปโร ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาเคยทำหน้าที่ทั้งในฐานะผู้อำนวยการและผู้จัดการทั่วไป โดยมีบทบาทสำคัญในการผลักดันทีมให้กลายเป็นหนึ่งในสโมสรที่พัฒนาเร็วที่สุดของญี่ปุ่น
หลังจบฤดูกาล 2024 ที่ซัปโปโรต้องตกชั้นจาก เจลีก 1 มิคามิตัดสินใจลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อผลงานของทีม แต่ผลงานในอดีตก็ยังคงเป็นที่จดจำ โดยเฉพาะการวางรากฐานให้ทีมเติบโตทั้งในเชิงธุรกิจและระบบเยาวชน
ความสำเร็จและบทบาทสำคัญกับซัปโปโร
ตลอดช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง มิคามิถือเป็นผู้อยู่เบื้องหลังดีลสำคัญหลายครั้งที่สั่นสะเทือนวงการลูกหนังไทยและญี่ปุ่น เช่น การคว้าตัว ชนาธิป สรงกระสินธ์, กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์, และ สุภโชค สารชาติ มาร่วมทีม ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยสร้างกระแส “ไทยแลนด์คอนเนกชัน” ระหว่างสองประเทศในเชิงฟุตบอล
ในสนามแข่งขัน เขามีส่วนสำคัญในการพา คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ทำผลงานดีที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร ด้วยการจบอันดับ 4 ของเจลีก ฤดูกาล 2018 และทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศ เจลีกคัพ 2019 ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้ซัปโปโรกลายเป็นทีมที่แฟนบอลทั่วเอเชียรู้จักมากขึ้น
กัมบะ โอซาก้า เดินเกมเร็ว – ปรับโครงสร้างใหม่ทั้งระบบ
การดึงตัวมิคามิเข้ามาของกัมบะ โอซาก้า ไม่ใช่เพียงแค่การเพิ่มผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงแผนระยะยาวของสโมสรที่ต้องการ ปฏิวัติระบบพัฒนาเยาวชน และ ขยายเครือข่ายการสรรหานักเตะระดับเอเชีย เพื่อสร้างทีมที่ยั่งยืนทั้งในและนอกสนาม
แหล่งข่าวใกล้ชิดระบุว่า กัมบะต้องการยกระดับระบบ “Talent Development Pipeline” ให้ใกล้เคียงกับทีมชั้นนำในยุโรป โดยมิคามิจะเป็นหัวเรือใหญ่ในการกำหนดทิศทางการพัฒนา ตั้งแต่ทีมเยาวชน U-18 จนถึงชุดใหญ่ ซึ่งถือเป็นโครงการที่สโมสรให้ความสำคัญสูงสุดในขณะนี้
เส้นทางใหม่ของมิคามิ – จากซัปโปโรสู่โอซาก้า
มิคามิถือเป็นหนึ่งในผู้บริหารที่มีแนวคิดทันสมัย และเชื่อมั่นในแนวทาง “ฟุตบอลเชิงพัฒนา” มากกว่าการทุ่มงบมหาศาลซื้อดาวดัง เขาเคยกล่าวไว้ว่า
“การสร้างนักเตะที่เข้าใจจิตวิญญาณของสโมสรคือสิ่งที่ยั่งยืนที่สุดในวงการฟุตบอล”
ด้วยแนวคิดนี้ แฟนบอลกัมบะต่างคาดหวังว่าเขาจะนำประสบการณ์จากซัปโปโรมาปรับใช้ เพื่อให้สโมสรกลับมาท้าชิงตำแหน่งบนหัวตารางอีกครั้งในฤดูกาล 2025 ซึ่งเป็นปีที่เจลีกคาดว่าจะกลับมาดุเดือดยิ่งกว่าเดิม
บทเรียนจากความสำเร็จในอดีต
สิ่งที่ทำให้มิคามิแตกต่างจากผู้บริหารทั่วไปคือการผสมผสานระหว่าง กลยุทธ์เชิงธุรกิจและความเข้าใจฟุตบอลระดับลึก เขาสามารถสร้างสมดุลระหว่างรายได้เชิงพาณิชย์กับผลงานในสนามได้อย่างลงตัว ซึ่งเป็นโมเดลที่หลายสโมสรในเอเชียกำลังนำไปศึกษา
กัมบะ โอซาก้า เองก็หวังว่า “สูตรสำเร็จแบบมิคามิ” จะช่วยปลุกชีพทีมให้กลับมาเป็นหนึ่งในขาประจำบนเวทียุโรป เช่น เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก เอลิท ทู ที่กำลังกลายเป็นเป้าหมายใหม่ของสโมสรใหญ่ในเอเชีย
ก้าวต่อไปของกัมบะ – เป้าหมายชัด “กลับมาทวงบัลลังก์เจลีก”
การเข้ามาของมิคามิถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่า กัมบะ โอซาก้า ตั้งเป้าสร้างความยั่งยืนในระยะยาว พร้อมกับวางระบบการพัฒนาทีมทั้งด้านเทคนิคและโครงสร้างองค์กร ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของฟุตบอลญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานมากกว่าความสำเร็จระยะสั้น
แฟนบอล “บลูแบล็ค” ต่างคาดหวังว่าภายใต้การบริหารของมิคามิ สโมสรจะกลับมามีอัตลักษณ์การเล่นที่ชัดเจน และสามารถต่อยอดความสำเร็จจากรุ่นสู่รุ่นได้อย่างมั่นคง
บอลเจลีกบ้านกีฬา มองว่านี่คือจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ในถิ่นซูอิตะ สเตเดียม ที่อาจเปลี่ยนโฉมวงการฟุตบอลญี่ปุ่นอีกครั้ง

