อากิระ นิชิโนะ กุนซือช้างศึก ทีมชาติไทย ผู้สร้างปรากฏการณ์ฟุตบอลไทย

อากิระ นิชิโนะ

อากิระ นิชิโนะ
อากิระ นิชิโนะ

กุนซือทัพช้างศึก ฟุตบอลทีมชาติไทย ในปัจจุบันนั้นได้กุนซือชาวอาทิตย์อุทัยอย่าง อากิระ นิชิโนะ มาคุมทีมเเละสามารถทำผลงานในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกได้น่าสนใจเลยทีเดียว โดยเขาคนนี้ได้รับการยอมรับในวงการฟุตบอลเอเชียเป็นอย่างมาก เเละเป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้นๆ ที่สมาคมฟุตบอลเเห่งประเทศไทยสนใจในการคว้าตัวมาร่วมงานด้วยตั้งเเต่การเเยกทางกับ มิโลวาน ราเยวัช ในช่วงของการเเข่งขันเอเชี่ยนคัพที่ผ่านมา โดยสำหรับกุนซือชาวญี่ปุ่นคนนี้อาจจะไม่ได้มีชื่อเสียงสำหรับชาวไทยมากนัก เเต่สำหรับคอบอลที่ติดตามการเเข่งขันฟุตบอลเอเชียมายาวนานจะรู้จักถึงฝีไม้ลายมือของเขาเป็นอย่างดีเลยทีเดียว

ดูบอลสด ดูบอลออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง

แอดไลน์ @Bankeela รับลิ้งดูบอล ทีเด็ด วิเคราะห์บอลจากทางบ้านกีฬา

[adsense3]

Nishino Akira นั้นเกิดเมื่อวันที่ 7 เมษายน ค.ศ.1955 ที่เมืองไซตามะ ในจังหวัดไซตามะ ไม่ไกลจากโตเกียวมากนัก โดยในวัยเด็กเขาชื่นชอบฟุตบอลเหมือนกับเด็กชายทั่วไปในประเทศญี่ปุ่นในยุคนั้น เเละเริ่มจริงจังเมื่อเข้าเรียนชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียน Saitama Prefectural Urawa Nishi High School ซึ่งเป็นสถานที่เเรกที่ทำให้เขารู้จักกับฟุตบอลอย่างจริงจริง โดยโรงเรียนเเห่งนี้ตั้งอยู่ในจังหวัดไซตามะเเละมีศิษย์เก่าหลายคนที่มีชื่อเสียงในวงการฟุตบอลญี่ปุ่น ทั้ง Ryozo Suzuki หรือจะเป็น Toshiaki Imai หลังจากนั้นเขาเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยวาเซดะ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอีกเเห่งของประเทศญี่ปุ่น ในปี ค.ศ.1974 เเละเริ่มต้นเล่นฟุตบอลในตำเเหน่งมิดฟิลด์ให้กับทีมฟุตบอลของมหาวิทยาลัย จนไปเตะตาของสโมสรฟุตบอลอาชีพของญี่ปุ่น ซึ่งในเวลานั้นระบบฟุตบอลลีกของญี่ปุ่นเพิ่มจะเริ่มต้นเท่านั้นเองยังเป็นระบบกึ่งสมัครเล่น เเละในปี ค.ศ.1978 เขาก็ได้เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลอาชีพหลังจากจบการศึกษากับสโมสรฮิตาชิ โคไดระ ซึ่งเป็นชื่อในขณะนั้นก่อนที่ในปัจจุบันเเฟนบอลเจลีกจะรู้จักกันดีในชื่อว่า คาชิว่า เรย์โซล

สำหรับสโมสรฟุตบอลเเรกอย่าง ฮิตาชิ โคไดระ ในเจลีกอดีตนั้นเป็นสโมสรเเรกเเละสโมสรเดียวที่ อากิระ นิชิโนะ ค้าเเข้งในช่วงชีวิตของการเป็นนักเตะอาชีพจนเขาได้รับยกย่องว่าเป็นนักเตะวันคลับเเมนอีกคน โดยเริ่มต้นค้าเเข้งตั้งเเต่ปี ค.ศ.1978 จนถึงฤดูกาลสุดท้ายในปี ค.ศ.1989-90 ในตำเเหน่งมิดฟิลด์ ซึ่งเขามีสถิติในการลงเล่นให้สโมสรทั้งหมด 143 เเมทช์ ทำประตูได้ 29 ประตู ไม่เคยสัมผัสเเชมป์ใดๆ กับสโมสรเลยเเม้เเต่เเชมป์เดียว ส่วนในนามทีมชาติญี่ปุ่นนั้นเขาติดทีมชาติญี่ปุ่น 12 เเมทช์ด้วยกัน เเละสามารถทำได้ 1 ประตู โดยเขาติดทีมชาติญี่ปุ่นตั้งเเต่สมัยที่ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยวาเซดะเเล้ว ซึ่งถือว่าเป็นชีวิตนักเตะที่ไม่ถือว่าประสบความสำเร็จมากมายอะไรนัก เเต่ก็ไม่ได้เเย่ไปเสียเลยทีเดียว โดยเขาได้รับการคัดเลือกให้รับรางวัล Japan Soccer League Best Eleven: 1985–86 เพียงครั้งเดียวในช่วงเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เเต่ทั้งหมดนั้นก็นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขามีประสบการณ์ในการวงการฟุตบอล ซึ่งต่อมาจะเป็นจุดพลิกผันให้เขามีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก

หลังจากประกาศเเขวนสตั๊คในปี ค.ศ.1990 Nishino Akira เริ่มงานทางด้านกีฬาโค้ชช่วงสั้นๆ กับสโมสรต้นสังกัดเดิมอย่างฮิตาชิ ก่อนได้รับการทาบทามจากสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นให้มารับหน้าที่กุนซือขัดตาทัพของทีมชาติญี่ปุ่นรุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี หลังจากโค้ชคนก่อนอย่าง โยชิคาซุ นากาอิ ลาออกไปคุมสโมสรในเจลีก โดยเขามีเวลาเตรียมตัวสำหรับการเเข่งขันรอบคัดเลือกเอเอฟซี ยูธ แชมเปียนชิพ เพียง 1 เดือนเท่านั้น เเต่ก็สามารถพาทีมชาติญี่ปุ่นเข้าไปจนถึงรอบรองชนะเลิศ เเต่เเพ้คู่ปรับเก่าอย่างเกาหลีใต้ จนอดเข้าชิงชนะเลิศ เเต่ก็สามารถคว้าที่ 3 ในทัวร์นาเม้นต์นั้นได้สำเร็จ หลังจากนั้นเขากลับไปทำงานทางด้านโค้ชกับทีมชาติญี่ปุ่นชุดใหญ่เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์เเละได้รับโอกาสอีกครั้งเมื่อปี ค.ศ.1994 ในการคุมทีมชาติทีมชาติญี่ปุ่นรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ซึ่งนักเตะส่วนใหญ่เป็นผู้เล่นหน้าเดิมๆ ตั้งเเต่ที่เขาเคยร่วมงานด้วยเมื่อการเเข่งขันเอเอฟซี ยูธ แชมเปียนชิพ โดยทีมชาติญี่ปุ่นชุดนี้มีเป้าหมายเพื่อไปทำการแข่งขันโอลิมปิก ในปี ค.ศ. 1996 ที่สหรัฐอเมริกา เเละด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเททั้งจากตัวเขาเเละเหล่าบรรดานักเตะทีมชาติญี่ปุ่นชุดนั้นก็สามารถสร้าง “ปาฏิหาริย์แห่งไมอามี่” ได้สำเร็จโดยการเอาชนะทีมอันดับ 1 ของโลกอย่างบราซิล ได้ 1-0 ทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการฟุตบอลญี่ปุ่นในทันที เเละหลังจากจบการเเข่งขันโอลิมปิกเเล้ว เขาก็โบกมือลาการร่วมงานกับทีมชาติญี่ปุ่น

อากิระ นิชิโนะ เริ่มต้นความท้าทายใหม่ในถิ่นเก่า ด้วยการกลับมารับหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมให้กับสโมสรเเรกเเละสโมสรเดียวที่เขาค้าเเข้งอย่าง ฮิตาชิ ที่ในตอนนี้เปลี่ยนชื่อมาเป็น คาชิว่า เรย์โซล โดยใช้เวลาเพียง 1 ฤดูกาลเท่านั้น พอเข้าฤดูกาลที่ 2 ที่เขากุมบังเหียนในปี ค.ศ.1999 เจ้าชายสุริยะ คาชิว่า เรย์โซล ก็สามารถคว้าเเชมป์เจลีกได้สำเร็จ เเต่ความสำเร็จก็อยู่กับเขาไม่นาน เมื่อฤดูกาลถัดๆ มาทีมของเขาทำผลงานได้ไม่เข้าเป้า เเละในฤดูกาล 2001 เขาก็ถูกปลดออกจากทีม ซึ่งเขายอมรับว่าเป็นอีกช่วงเวลาที่พลิกผันชีวิตของเขาเมื่อเขาเริ่มสนใจเเนวทางในการทำทีมฟุตบอลจาก กุส ฮิดดิงก์ ในการเเข่งขันฟุตบอลโลก ปี 2002 ที่ให้ความสำคัญกับระบบการเล่น มากกว่าผู้เล่นในทีม ซึ่งช่วงเวลาเดียวกันนั้นเขารับหน้าที่เป็นกุนซือให้กับ กัมบะ โอซาก้า เเละ 9 ปีในการคุมทีมกัมบะ โอซาก้านี้ ได้ยกระดับชื่อเสียงของเขาอย่างมากมาย โดยการคว้าเเชมป์ต่างๆ มากมายหลายรายการ ทั้งเเชมป์เจลีก เเชมป์ลีกคัพ เเละเป็นกุนซือชาวญี่ปุ่นคนเเรกที่สามารถพาทีมไปคว้าเเชมป์ เอเอฟซี เเชมป์เปี้ยนลีกได้สำเร็จ กลายเป็นกุนซือระดับตำนานของกัมบะ โอซาก้า ก่อนที่เขาจะออกไปหาความท้าทายใหม่กับ วิสเซล โกเบ ในปี 2012 เเต่ไม่ประสบความสำเร็จ คุมทีมได้เพียง 19 เเมทช์ก็ต้องเเยกทางกับโกเบ เเละต้องว่างงานอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง พร้อมๆ กับคำกล่าวว่าเขากลายเป็นโค้ชตกยุคไปเเล้ว ก่อนที่จะเข้ามาคุมทีมนาโกย่า แกรมปัส ในฤดูกาล 2014-15 เเต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก จึงวางมือเมื่อจบฤดูกาล

หลังจากวางมือจากการคุมทีมฟุตบอล Nishino Akira เข้ารับบทบาทใหม่ที่สร้างความเเปลกใหม่ให้กับเขาอย่างฝ่ายเทคนิคของสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่น ที่นี่ทำให้เขาได้เรียนรู้มิติใหม่ต่างๆ ของวงการฟุตบอลสมัยใหม่ เเละเทคนิควิธี กลยุทธ์ต่างๆ จนในอีก 3 ปี หลังจากการว่างเว้นไม่ได้คุมทีมข้างสนาม เขาจะได้นำองค์ความรู้เหล่านั้นกลับมาใช้ในการคุมทีมอีกครั้ง เมื่อโอกาสมาถึง เพราะวาฮิด ฮาลิลฮอดซิช กุนซือของทีมชาติญี่ปุ่นถูกปลดออกจากตำแหน่ง ก่อนการแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 2018 เพียงเเค่สองเดือนก่อนการเเข่งขัน ทำให้ขื่อของ อากิระ นิชิโนะ ถูกเสนอเพื่อมาเป็นกุนซือขัดตาทัพอีกครั้ง เหมือนกับย่อนอดีตไปเมื่อครั้งเขาคุมทีมชาติญี่ปุ่นชุดเล็กครั้งเเรกก็ไม่ปาน เเต่คราวนี้เป็นทีมชาติญี่ปุ่นชุดใหญ่ ที่อุดมไปด้วยผู้เล่นระดับหลายคน โดยเขาคือกุนซือชาวญี่ปุ่นในรอบ 8 ปีสำหรับซามูไรบลูชุดใหญ่ที่ใช้บริการเเต่กุนซือชาวต่างชาติมาโดยตลอด เเละเขาก็สามารถพาทีมชาติญี่ปุ่นเข้าสู่รอบลึกได้สำเร็จ เเม้จะมีคำครหาจากเเมทช์ที่พวกเขาเเพ้ทีมชาติโปแลนด์ 1-0 เเละนิชิโนะ สั่งให้ลูกทีมต่อบอลไปมาในช่วง 10 นาทีสุดท้ายเพื่อให้มีสกอร์เกิดขึ้นอีก เพื่ออาศัยกฎแฟร์เพลย์ที่ซามูไรบลูเป็นต่อทีมชาติเซเนกัล จนสามารถเป็นชาติเดียวจากเอเซียที่ผ่านเข้ารอบได้ เเต่ก็ทำให้เกิดข้อถกเถียงกันเป็นอย่างมากในหมู่ชาวญี่ปุ่นที่มีวัฒนธรรมสู้สุดใจ จนจบฟุตบอลโลก 2018 เขาก็โบกมือลาการคุมทีมชาติญี่ปุ่นอีกครั้งแล้วกลับมาทำงานที่ฝ่ายเทคนิคของสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นเหมือนเดิม

ช่วงปี ค.ศ. 2019 สมาคมฟุตบอลเเห่งประเทศไทยเริ่มมองหากุนซือคนใหม่มาเเทน มิโลวาน ราเยวัช ที่ถูกปลดกลางการเเข่งขันเอเชี่ยนคัพ โดยมีชื่อของ อากิระ นิชิโนะ ถูกเสนอเข้ามา พร้อมกับมีการติดต่อประสานงานอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง พร้อมกับมีภาพปรากฏว่าเขาเดินทางมาพบกับนายกสมาคมฟุตบอลเเห่งประเทศไทยเเละเดินทางไปดูเกมส์ฟุตบอลไทยลีกหลายเเมทช์เเละมีการพบกับอดีตเพื่อนร่วมงานที่สโมสรกัมบะ โอซาก้า อย่างโค้ชเฮง วิทยา เลาหกุล หรือการไปดูเกมส์ที่สนามเเพท สเตเดี้ยม เเละพบกับ จเด็จ มีลาภ ซึ่งเคยปะทะฝีมือกันมาเเล้วในเอเอฟซี เเชมป์เปี้ยนลีก ฤดูกาล 2008 ซึ่งขณะนั้นนิชิโนะคุมกัมบะ โอซาก้า เเละ จเด็จ มีลาภ คุมชลบุรี เอฟซี ทำให้เป็นภาพตอกย้ำว่าวงการฟุตบอลไทยให้ความสนใจในตัวเขาเป็นอย่างยิ่ง ก่อนที่เขาจะเดินทางกลับประเทศญี่ปุ่นเเละมีการตอบตกลงมารับงานคุมทีมชาติไทย โดยมีงานเเถลงข่าวเเละเซ็นต์สัญญาที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยนี่จะเป็นการรับงานคุมทีมฟุตบอลนอกประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งเเรกในชีวิตของเขา โดยสื่อมวลชนทางด้านกีฬาของญี่ปุ่นให้ความสนใจในข่าวนี้เป็นอย่างมากพร้อมกับมีการทำข่าวอย่างต่อเนื่อง โดยมีหลายทัศนะว่าการมาคุมทีมฟุตบอลทีมชาติไทยก็เป็นอะไรที่ต้องใช้ความสามารถสูง เพราะต้องใช้ความพยายามต่อสู้ทั้งในเเละนอกสนามกับอีโก้ของบรรดานักเตะเอย ความไม่เป็นมืออาชีพของสโมสรต่างๆ ในเรื่องของการปล่อยตัวผู้เล่น หรือจะเป็นบรรดาสื่อโซเชียลของเเฟนบอลที่เสพติดความสำเร็จ โดยทั้งหมดทั้งมวลคือความท้าทายใหม่ที่ อากิระ นิชิโนะ ต้องพบเจอ

ทรัพยากรผู้เล่นในยุคการคุมทีมของ Nishino Akira นั้นถือว่าน่าสนใจสำหรับทีมฟุตบอลทีมชาติไทยยุคใหม่ที่มีผู้เล่นมากมายหลายคนที่เล่นในต่างประเทศ เเละมี 3 ผู้เล่นจากเจลีก ที่ถือว่าเป็นเเกนหลักของสโมสรอยู่ในทีมชาติไทยยุคนี้ รวมกับบรรดาผู้เล่นดาวรุ่งมากมายที่เขาเปิดโอกาสให้มาเเสดงศักยภาพเเละโชว์ฟอร์มได้อย่างเข้าตาเลยก็ว่าได้ อีกทั้งในเรื่องของสไตล์การทำงานที่เป็นเเบบญี่ปุ่นที่เขี้ยวลากดินเเละเน้นวินัยสูง ก็ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับเหล่าผู้เล่นดาวรุ่งของทีมชาติไทย โดย อากิระ นิชิโนะ นั้นยังรับหน้าที่ควบคุมทีมชาติไทยชุดยู 23 ลุยศึก ซีเกมส์ 2019 ด้วยทำให้ได้เห็นมิติใหม่ๆ ในการเรียกตัวนักฟุตบอลเข้ามาเสริมความเเข็งเเกร่งให้กับทีมชาติไทยในยุคปัจจุบัน โดยจากผลงานที่ผ่านมาไม่กี่นัดก็น่าจะเเสดงให้เห็นเเล้วว่าเขาคืออีกหนึ่งในกุนซือที่ทีมฟุตบอลทีมชาติไทยตามหามานานเพื่อความสำเร็จในอนาคตของวงการฟุตบอลไทย

[adsense3]