
กลายเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ระดับนานาชาติ เมื่อ มวยไทย ศิลปะการต่อสู้ประจำชาติไทย กำลังได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ล่าสุด นางโปรดปราน สมานมิตร รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ฝ่ายกีฬาอาชีพและกีฬามวย พร้อมด้วยคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านกีฬา ลงพื้นที่เยี่ยมและตรวจสอบมาตรฐานค่ายมวยไทยชื่อดังกลางฮ่องกง พร้อมยืนยันกระแสตอบรับแรงเกินคาด!
โดยการเดินทางครั้งนี้มีจุดหมายที่ Muay Thai Center ยิมมวยไทยระดับแถวหน้าของฮ่องกง ซึ่งบริหารโดยอดีตนักมวยไทยชื่อดังอย่าง เทพฤทธิ์ ศรีจำพันธุ์ และ เอเซีย ศรีจำพันธุ์ โดยทั้งคู่เริ่มต้นจากการเป็นครูมวยในต่างแดน ก่อนพัฒนาเป็นผู้ประกอบการร่วมกับพาร์ตเนอร์ท้องถิ่น จนสามารถสร้างชื่อเสียงให้มวยไทยกลายเป็นกีฬายอดนิยมของชาวฮ่องกงในทุกกลุ่มอายุ
นางโปรดปราน เผยถึงภารกิจสำคัญว่า การเยี่ยมค่ายในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการผลักดันมวยไทยให้กลายเป็น Soft Power ที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยผ่านกีฬา โดยจะมีการจัดกิจกรรมระดับนานาชาติอย่าง Muay Thai Master Class 2025 ในหลายประเทศทั่วโลก และเริ่มต้นจากฮ่องกงเป็นประเทศแรกในปีนี้ ซึ่งถือเป็นการต่อยอดจากนโยบายของรัฐบาลทั้งชุดก่อนและชุดปัจจุบันอย่างเป็นรูปธรรม
สิ่งที่สร้างความประทับใจให้กับคณะจาก กกท. คือภาพของผู้เรียนในยิม ที่หลากหลายเพศและวัย ตั้งแต่เยาวชน วัยทำงาน ไปจนถึงผู้สูงอายุที่อายุ 60-70 ปีก็ยังลงเวทีฝึกฝนอย่างขะมักเขม้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงที่ให้ความสนใจอย่างล้นหลาม สะท้อนให้เห็นว่ามวยไทยไม่ได้จำกัดแค่เวทีแข่งขัน แต่มันกลายเป็น “ไลฟ์สไตล์” ที่เชื่อมโยงกับการดูแลสุขภาพ การป้องกันตัว และการพัฒนาตัวเองของคนทั่วโลก
“สิ่งที่เราภูมิใจที่สุดไม่ใช่แค่ชื่อเสียงของมวยไทย แต่คือการสร้างอาชีพให้คนไทย ครูมวยไทยในต่างแดนวันนี้สามารถสร้างรายได้หลักแสนต่อเดือน ซึ่งต่างจากเมื่อก่อนที่ผู้ฝึกสอนมักถูกมองข้าม แต่วันนี้พวกเขากลายเป็นบุคลากรหลักในอุตสาหกรรมกีฬาไทยที่ส่งออกไปทั่วโลก” นางโปรดปรานกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
ทางด้าน เทพฤทธิ์ ศรีจำพันธุ์ เจ้าของค่าย เผยว่า Muay Thai Center เปิดมาแล้วร่วม 10 ปี ปัจจุบันมีถึง 2 สาขาในฮ่องกง และมีผู้เรียนเฉลี่ย 40-50 คนต่อวัน ส่วนใหญ่เป็นชาวฮ่องกงที่มาจากหลากหลายอาชีพ โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศที่เลือกมวยไทยเป็นการออกกำลังกาย ซึ่งหลายคนซื้อคอร์สระยะยาว 2-3 เดือน และมาเรียนต่อเนื่องจริงจังแบบไม่ขาดสาย แม้ราคาค่าเรียนจะสูง แต่ความนิยมกลับพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังมีการเปิดเผยว่า ปัจจุบันในฮ่องกงมียิมมวยไทยเปิดให้บริการอยู่เป็นจำนวนมากกว่า 100 แห่ง ซึ่งแตกต่างจากเมื่อ 15-20 ปีก่อนที่มวยไทยยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับชาวฮ่องกง แต่วันนี้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่ฝังรากลึก ไม่ใช่เพียงแค่กีฬา แต่คือความผูกพันระหว่างไทย-ฮ่องกงที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
มวยไทยจึงไม่ได้เป็นเพียงศิลปะการต่อสู้ แต่ได้กลายเป็น “เครื่องมือทางเศรษฐกิจ” และ ซอฟท์พาวเวอร์ ที่ขับเคลื่อนคุณค่าของไทยไปสู่สายตาชาวโลก ทั้งสร้างชื่อเสียง รายได้ และโอกาสอาชีพในระดับสากล นี่คืออีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่ากีฬาประจำชาติไทยสามารถก้าวไกลอย่างยั่งยืน หากได้รับการสนับสนุนที่ถูกทิศทาง
ติดตามข่าวสารวงการมวยไทยระดับนานาชาติ อัปเดตทุกความเคลื่อนไหวได้ที่ มวยสดบ้านกีฬา