สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด Manchester United หรือที่รู้จักในชื่อแฟนบอลชาวไทยคือ ปีศาจแดง หรือว่า เด็กผี แมนยูเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพที่ตั้งอยู่ในเมืองโอลด์แทรฟฟอร์ด เกรตเทอร์แมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ปัจจุบันสโมสรแข่งขันในพรีเมียร์ลีก ซึ่งถือเป็นลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษ ถูกก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1878 ในชื่อสโมสรฟุตบอลนิวตันฮีตแอลวายอาร์ แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี ค.ศ. 1902 พร้อมย้ายไปอยู่ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ในปี ค.ศ. 1910 ชื่อเล่นของสโมสรคือปีศาจแดงที่มาจากการเล่นบอลในสนามที่ดุดัน นักเตะมีความสามารถสูง และมีลีลาการต่อบอลที่ยอดเยี่ยม ทั้งยังคว้าแชมป์ต่อเนื่องและยาวนานที่สุด ในวงการฟุตบอลอังกฤษอีกด้วย
ประวัติความเป็นมาอันยิ่งใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ยังคงเป็นตำนานจนถึงปัจจุบัน
แอดไลน์ @Bankeela รับลิ้งดูบอล ทีเด็ด วิเคราะห์บอลจากทางบ้านกีฬา
หนึ่งในสโมสรที่มีแฟนบอลทั่วโลกมากที่สุด และในประเทศไทยคืออันดับที่ 1 เช่นเดียวกัน กับประวัติความเป็นมาอย่างยาวนาน ช่วยเพิ่มเติมความน่าสนใจให้กับแมนยูฯ มากขึ้น จุดเริ่มต้นก่อนตั้งสโมสร คือ ปี ค.ศ. 1878 แต่ไม่ได้ใช้ชื่อเดียวกับทุกวันนี้ โดยเป็นชื่อสโมสรฟุตบอลนิวตันฮีต แอลวายอาร์ ชื่อภาษาอังกฤษ คือ Newton Heath LYR Football Club มาจากกลุ่มพนักงานแผนกตู้โดยสารและช่างซ่อมบำรุงรถไฟ จุดประสงค์เพื่อที่จะแข่งขันกับบริษัทรถไฟอื่น ๆ แต่ทว่าในปี ค.ศ. 1880 ได้เริ่มต้นลงแข่งขันครั้งแรกในเสื้อสีเขียวและสีทอง
กลับพ่ายแพ้ให้กับสโมสรโบลตันวอนเดอเรอส์ ด้วยสกอร์ถึง 6 ประตูต่อ 0 จึงเป็นการเริ่มต้นที่ไม่น่าจดจำเท่าไหร่นัก ในเวลาต่อมาทางสโมสรได้เป็นผู้ร่วมก่อนตั้งการแข่งขันเดอะคอมบิเนชัน ฟุตบอลระดับภูมิภาคของประเทศอังกฤษ กลับมีการแข่งขันแค่ฤดูกาลเดียวก็ต้องยุบไป จนมาถึงปี ค.ศ. 1902 สโมสรเจอกับปัญหาหนี้สินจำนวนมากกว่า 290,000 ปอนด์ ทำให้มีการออกคำสั่งยุติกิจการสโมสรฟุตบอลตามมา นักเตะและกัปตันทีมอย่างแฮร์รี สแตฟเฟิร์ด จึงได้ออกไปพบปะกับนักธุรกิจ 4 คน และหนึ่งในนั้นคือ จอห์น เฮนรี เดวีส์ ในเวลาต่อมาเป็นประธานสโมสรที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ เกิดการระดมทุมแลกกับผลประโยชน์ภายในสโมสร ช่วยให้ในครั้งนั้นผ่านวิกฤตไปได้อย่างสวยงาม พร้อมกับมีการเปลี่ยนแปลงชื่อสโมสรใหม่ ในปี ค.ศ. 1920 จนได้กำเนิดสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างเป็นทางการ
แต่ไม่นานก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้ภาพรวมของการแข่งขันต้องมีการเปลี่ยนแปลงไป และทำให้สโมสรแห่งนี้ตกชั้นลงไปแข่งขันดิวิชัน 2 และต้องใช้เวลาถึง 3 ปี กว่าที่จะกลับมาสู่ดิวิชัน 1 ได้สำเร็จ สถานการณ์กลับแย่ลงเมื่อปี ค.ศ. 1931 แต่ครั้งนี้ไม่ใช่จุดต่ำสุดของสโมสร ในเวลาต่อมาปี ค.ศ. 1945 เมื่อผู้คนกลับจากการจบสงครามโลกครั้งที่ 2 การแข่งขันฟุตบอลจึงได้กลับมาอีกครั้ง ทางสโมสรได้มีการแต่งตั้งผู้จัดการทีมคนใหม่ อย่างแมตต์ บัสบี และมีข้อเรียกร้องไว้ว่าผู้จัดการทีมสามารถที่จะเลือกนักเตะได้ การซื้อขายรวมไปถึงตารางการฝึกซ้อม และสถานการณ์ทุกอย่างก็ดีขึ้นตามลำดับ การคุมสโมสรแค่ 2 ปี สามารถพาทีมไปจบอันดับที่ 2 ของดิวิชัน 1 ได้สำเร็จ รวมถึงการคว้ามแชมป์รายการ FA CUP ในปี ค.ศ. 1948 หลังจากเริ่มต้นแชมป์แรกในสโมสรได้แล้ว
ใช้เวลาอีกแค่ 4 ปี ก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์ที่รอคอยอย่างดิวิชัน 1 มาครองได้สำเร็จ ฉลองการครบรอบการก่อตั้งสโมสร 41 ปี ใน ค.ศ. 1956 และปี ค.ศ. 1957 สามารถคว้าแชมป์ดิวิชัน 1 ติดต่อกัน 2 สมัย ซึ่งนักเตะในช่วงนั้นเรียกว่าดาวรุ่งเกือบทั้งทีม มีค่าเฉลี่ยอายุเพียง 22 ปีเท่านั้น และในปีดังกล่าวยังกลายเป็นสโมสรแรก ที่สามารถเข้าแข่งขันฟุตบอลยูโรเปียนคัพ แต่ก็ไปไม่ถึงฝัน ตกรอบรองชนะเลิศไปอย่างน่าเสียดาย เป็นการแพ้ให้กับยอดสโมสรจากประเทศสเปน เรอัล มาดริด ซึ่งก่อนที่จะมาแพ้ได้สร้างประวัติศาสตร์ชนะมากที่สุดถึง 10 ประตูต่อ 0 กับทางสโมสรอันเดอร์เลคต์จากประเทศเบลเยียม หลังจากนั้นก็เจอกับปัญหาเหมือนกับสโมสรทั่วไปที่มีขาลงนั่นเอง จนมาถึงการเข้ามาของผู้จัดการทีมแห่งประวัติศาสตร์อย่างอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุด รวมไปถึงการได้รับยศเป็นท่านเซอร์ในเวลาต่อมา
ยุคแห่งความสำเร็จสูงสุดจากอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดในโลก
ความยิ่งใหญ่ที่ทั่วโลกยอมรับ คือ การมาของอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไม่มีแฟนบอลคนไหน ไม่รู้จักกับผู้จัดการทีมคนนี้ การเปลี่ยนแปลงและสร้างประวัติที่ยิ่งใหญ่มากมาย ช่วยให้สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายมาเป็นสุดยอดสโมสรระดับโลกในทุกวันนี้ ทำให้แฟนบอลจำนวนมากตกใจกับการอำลาตำแหน่ง เพราะคุมทีมมานานกว่า 20 ปี ความน่าสนใจและจุดสูงสุดมีเหตุการณ์ไหนบ้างที่ทำให้แฟนบอลผีแดงยังคงตราตรึง โดยเริ่มต้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1986 อเล็กซ์ เฟอร์กูสันได้เข้ามารับช่วงต่อจากแอตกินสัน เริ่มต้นอาจจะไม่ได้น่าสนใจหรือว่าประสบความสำเร็จในทันที ฤดูกาลนั้นจบในอันดับที่ 2 แต่ทว่าในฤดูกาลต่อมากลับตกลงไปจบอันดับที่ 11 มีกระแสข่าวออกมามากมายว่าจะมีการปลดผู้จัดการทีมอีกครั้ง แต่ก็ยังคงได้คุมทีมต่อไป ก่อนที่ปี ค.ศ. 1990 ได้คว้าแชมป์แรกสำเร็จ
โดยเป็นรายการแข่งขัน FA CUP และนี่คือจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์เฟอร์กี้ทาร์ม ฤดูกาลต่อมายังคงสร้างความยิ่งใหญ่แบบต่อเนื่อง คว้าแชมป์ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพเป็นสมัยแรกของสโมสร และได้โอกาสเข้าแข่งขันรายการยูฟ่าซูเปอร์คัพ 1991 ก็สามารถคว้าแชมป์ได้เช่นเดียวกัน ในปี ค.ศ. 1992 สามารถครองแชมป์ลีกคัพติดต่อกัน 2 สมัย ในปี ค.ศ. 1993 ชนะเลิศลีกครั้งแรกนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967 คว้าดับเบิลแชมป์จนกลายมาเป็นประวัติศาสตร์ของสโมสรถึงปัจจุบัน การกระทำในครั้งนั้นทำให้กลายเป็นสโมสรแรกของเกาะอังกฤษที่สามารถทำได้
บอกได้เลยว่าในยุค 90 ชื่อของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เข้าร่วมรายการไหนก็สามารถลุ้นแชมป์และครองแชมป์ได้มากมาย จนปลายยุค 90 ก็เกิดเรื่องที่ทั่วโลกต้องประหลาดใจ ในปี ค.ศ. 1998-1999 ทำการคว้า 3 แชมป์หรือทริปเปิลแชมป์ โดยทั้งหมดเป็นรายการแข่งขันใหญ่ในฤดูกาลเดียวกัน แบ่งเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก, แชมป์ FA CUP และยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก หลังจากนั้นก็ยังคงอยู่ในเส้นทางสโมสรที่ดีที่สุดในประเทศอังกฤษ จนถึงปี ค.ศ. 2013 ทุกอย่างกลับต้องมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อเฟอร์กี้ได้ออกมาประกาศว่าจะยุติตำแหน่ง เพื่อที่จะใช้เวลาอยู่กับครอบครัวของตัวเอง ทำให้มีกระแสมากมายว่าใครจะเหมาะสมและเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมคนต่อไป
ความคาดหวังของแฟนบอลที่มากขึ้น รวมไปถึงรายชื่อที่มีโอกาสเข้ามาแทนที่ ยิ่งทำให้แฟนบอลเกิดความไม่มั่นใจว่าจะยังคงเป็นสุดยอดสโมสรชั้นนำได้อีกต่อไป จนได้เดวิด มอยส์ ที่กลายเป็นคนเข้ารับช่วงต่อ ซึ่งสภาพของทีมและนักเตะทั้งหมด ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากยุคก่อนหน้านี้ แต่กลับไม่สามารถทำผลงานออกมาได้โดนใจแฟนคลับ และกลายเป็นการจบความยิ่งใหญ่ของยอดสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เนื่องจากนับตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีการคว้าแชมป์รายการใหญ่ได้อีกเลย
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับผลงานการคว้าแชมป์ที่โดดเด่น และการเล่นบอลอย่างมืออาชีพ
ความสำเร็จของสโมสรแมนยูไนเต็ดกล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่ไม่แพ้ใคร ด้วยการคว้าถ้วยรางวัลมากมาย ประวัติศาสตร์ที่แฟนบอลทุกคนอยากจะเข้าถึง จะมาแนะนำว่ามีรายการไหนบ้างและปีอะไร เพื่อที่จะทำให้แฟนบอลที่เพิ่งจะเริ่มต้นเข้ามาเชียร์ทีมนี้ รู้ถึงข้อมูลที่ถูกต้องมากที่สุด
- ดิวิชัน 1 หรือว่าพรีเมียร์ลีก 1907–08, 1910–11, 1951–52, 1955–56, 1956–57, 1964–65, 1966–67, 1992–93, 1993–94, 1995–96, 1996–97, 1998–99, 1999–2000, 2000–01, 2002–03, 2006–07, 2007–08, 2008–09, 2010–11, 2012–13
- ดิวิชัน 2 1935–36, 1974–75
- FA CUP 1908–09, 1947–48, 1962–63, 1976–77, 1982–83, 1984–85, 1989–90, 1993–94, 1995–96, 1998–99, 2003–04, 2015–16, 2023–24
- ฟุตบอลลีกคัพ หรืออีเอฟแอลคัพ 1991–92, 2005–06, 2008–09, 2009–10, 2016–17, 2022–23
- เอฟเอแชริตีชีลด์/เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 1908, 1911, 1952, 1956, 1957, 1965, 1967, 1977, 1983, 1990, 1993, 1994, 1996, 1997, 2003, 2007, 2008, 2010, 2011, 2013, 2016
- ยูโรเปียนคัพ หรือยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 1967–68, 1998–99, 2007–08
- ยูฟ่ายูโรปาลีก 2016–17
- ยูโรเปียนซูเปอร์คัพ 1991
- ยูโรเปียนคัพวินเนอร์สคัพ 1990-91
- ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2008
- อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ 1999
เข้าสู่ยุคแห่งการถดถอยและจุดต่ำสุดของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
มีช่วงเวลาที่ดีที่สุด ก็ย่อมต้องมีช่วงเวลาที่ไม่น่าจดจำที่สุดเช่นกัน เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1930 แพ้รวมทุกรายการถึง 28 นัด และเป็นประวัติศาสตร์ที่แพ้มากที่สุดอีกด้วย เมื่อมาในปี ค.ศ. 1934 คือ จุดต่ำสุดตลอดกาลของสโมสรแห่งนี้ เพราะสโมสรล้มละลายจากนายทุนเสียชีวิตลงไป ต่อมาไม่นานการเปลี่ยนแปลงจากเจมส์ ดับเบิลยู กิบสัน ที่บริจาคเงิน 2,000 ปอนด์ ช่วยผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนั้น ในปี ค.ศ. 1972 แพ้รวมทุกรายการถึง 25 นัด ในปี ค.ศ. 1989-1990 แพ้ในลีกสูงที่สุด 9 นัด และล่าสุดปี ค.ศ. 2023-2024 แพ้ในลีกสูงที่สุดถึง 14 นัด เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่แฟนบอลไม่อยากจะที่จะจดจำ ในแต่ละช่วงเวลาที่ตกต่ำและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ ซึ่งอาจจะไม่กินเวลายาวนาน
จึงช่วยให้สโมสรแห่งนี้กลับขึ้นมาได้ใหม่อีกครั้ง ล่าสุดของการคุมสโมสรของเทน ฮาก ก็ยังไม่สามารถพาสโมสรไปลุยศึกใหญ่ของทางยุโรปได้ และเป็นการตกรอบแบ่งกลุ่มครั้งแรกในรอบ 27 ปี รวมไปถึงการแพ้คาบ้านอีกหลายนัดที่กลายเป็นครั้งแรกของสโมสร เชื่อว่าสำหรับแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแล้ว ก็คงอยากจะให้ผ่านช่วงเวลาแบบนี้ไปให้เร็วที่สุด และกลับขึ้นมาเป็นสุดยอดสโมสรที่ยิ่งใหญ่ของประเทศอังกฤษได้อีกครั้ง
สรุปสถานการณ์โดยรวมของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2024
ถ้าเป็นแฟนบอลตัวจริงของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เชื่อว่าผลงานในปีล่าสุด จะรู้สึกไม่เป็นที่น่าพอใจอย่างมาก เนื่องจากมีการเปลี่ยนผู้รักษาประตูคนใหม่ มีรูปแบบการเล่นที่เน้นใช้เท้า และยังมีประเด็นของการไม่ต่อสัญญากับทางเดเกอา หนึ่งในสุดยอดผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดของโลก ทุกอย่างเหมือนจะแย่ลงไปจากเดิม และการซื้อโอดานาเข้ามาเรียกได้ว่ามีการป้องกันประตูน้อย มีความผิดพลาดตลอดเวลา แต่กลับได้รับความไว้วางใจให้เป็นมือ 1 มาตลอด แต่ทว่าจากผลงานมีการเสียประตูในลีกถึง 58 ลูก และทำประตูได้ 57 เท่ากับว่าติดลบ 1 ลูก เรื่องเหล่านี้ทำให้แฟนบอลจำนวนมาก ออกมากดดันให้ปลดผู้จัดการทีมเทน ฮาก ที่เพิ่งจะรับงานคุมทีมได้ 1 ฤดูกาลนั่นเอง แต่ทางผู้บริหารสูงสุดได้เปิดโอกาสอีกครั้งให้กับผู้จัดการทีมรายนี้ แฟนบอลจึงอาจจะต้องเปิดใจและรอเชียร์กันต่อไป เชื่อว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น