ภาพรวมเหตุการณ์แผ่นดินไหวญี่ปุ่นครั้งล่าสุด
ญี่ปุ่นต้องสะดุ้งทั้งประเทศอีกครั้ง เมื่อเกิด แผ่นดินไหว ขนาด 7.5 แมกนิจูด นอกชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือ ใกล้ภูมิภาคอาโอโมริ ในช่วงดึกวันจันทร์ ตามเวลาท้องถิ่น เวลาประมาณ 23.15 น. จุดศูนย์กลางอยู่ห่างฝั่งราว 80 กิโลเมตร ลึกประมาณ 50 กิโลเมตร ทำให้หลายเมืองชายฝั่งรวมถึงฮา치โนะเฮะสั่นสะเทือนหนักจนถูกวัดได้ระดับ “6 แข็ง” บนมาตราสเกลชินโดะของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นระดับที่คนยืนแทบไม่อยู่และเฟอร์นิเจอร์ล้มระเนระนาด
แรงสั่นจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ไม่ใช่แค่คนญี่ปุ่นในโทโฮคุที่รู้สึกได้ ชาวเมืองใหญ่อย่างโตเกียวที่อยู่ห่างออกไปราว 400 กิโลเมตร ยังรายงานว่าอาคารสูงสั่นไหวยาวนานราวครึ่งนาที ทำให้ภาพ “แผ่นดินไหวญี่ปุ่น” กลับมาปรากฏเต็มหน้าจอทีวีและโซเชียลอีกครั้งในชั่วพริบตา
เบื้องต้นทางการรายงานผู้บาดเจ็บอย่างน้อยราวสามสิบราย จากทั้งแรงสั่นสะเทือนและวัตถุตกหล่นในบ้าน–ในอาคาร บางพื้นที่เกิดไฟไหม้เป็นจุดๆ มีไฟดับเป็นวงกว้างช่วงกลางดึก ก่อนที่บริษัทไฟฟ้าจะเร่งคืนระบบให้แทบทั้งหมดได้ในช่วงเช้ามืดวันอังคาร ขณะเดียวกันคำสั่งอพยพถูกประกาศให้ประชาชนหลายหมื่นคนตามแนวชายฝั่งฮอกไกโด–อาโอโมริ–อิวาเตะ เคลื่อนตัวขึ้นที่สูงและเข้าสู่ศูนย์อพยพอย่างเร่งด่วน
ข่าวดีคือไม่มีรายงานความเสียหายรุนแรงถึงขั้นเมืองพังทั้งเมืองหรือสึนามิลูกใหญ่ซัดฝั่งแบบปี 2011 แต่เหตุการณ์นี้ก็ชัดเจนว่าเป็น “หมัดเบาๆ” ที่เตือนให้ทั้งญี่ปุ่นและภูมิภาคกลับมาทบทวนเรื่อง ภัยพิบัติแผ่นดินไหว–สึนามิ อีกครั้งอย่างจริงจัง

จากแรงสะเทือนใต้ทะเลสู่เตือนสึนามิ – นาทีระทึกริมชายฝั่งญี่ปุ่น
ทันทีที่คลื่นไหวสะเทือนถูกตรวจจับได้ สำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น (JMA) ก็เข้าสู่โหมดฉุกเฉินเต็มรูปแบบ ระบบแจ้งเตือนแผ่นดินไหวอัตโนมัติและคำเตือนสึนามิถูกส่งขึ้นหน้าจอทีวี วิทยุ แอปพลิเคชัน และป้ายอิเล็กทรอนิกส์ในเมืองใหญ่ในเวลาเพียงไม่กี่นาที ช่วยให้ประชาชนมีเวลาตั้งหลักและตัดสินใจอพยพได้เร็วขึ้น
ช่วงนาทีแรกๆ JMA ออกคำเตือนสึนามิสำหรับชายฝั่งฮอกไกโด อาโอโมริ และอิวาเตะ พร้อมประเมินความเป็นไปได้ของคลื่นสูงได้ถึงระดับ 3 เมตร จนทำให้เสียงตามสายและรถกระจายเสียงในหลายเมืองเรียกร้องให้คนหนีขึ้นที่สูงทันที จากนั้นไม่นานมีการวัดระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นราว 20–70 เซนติเมตรในหลายจุดตลอดชายฝั่งแปซิฟิกฝั่งตะวันออกของญี่ปุ่น ก่อนที่ข้อมูลจริงจะชัดเจนว่าคลื่นไม่สูงเท่าที่กังวล และในเวลาต่อมา คำเตือนถูกลดระดับเหลือเพียงคำแนะนำ (Advisory) แล้วจึงยกเลิกทั้งหมดในเช้าวันถัดมา
แม้ “ตัวเลขสึนามิ” จะดูไม่สูงนัก แต่สำหรับคนที่ยังจำภาพปี 2011 ได้ขึ้นใจ ทุกเซนติเมตรของน้ำทะเลคือความกังวลและความกลัวที่ย้อนกลับมาทันที

ความเสียหายเบื้องต้น – เจ็บหลายสิบ ไฟดับ รถไฟ–ชินกังเซนหยุด วิถีชีวิตสะดุดชั่วคราว
ข้อมูลจากทางการญี่ปุ่นระบุว่า ผู้บาดเจ็บส่วนใหญ่เกิดจากของหล่นใส่ ลื่นล้ม หรือกระจกแตกจากแรงสั่นสะเทือน อาคารบางแห่ง โดยเฉพาะบ้านไม้เก่าและตึกเตี้ยตามชายฝั่ง มีรอยแตกร้าว ผนังหลุด และของใช้ในบ้านเสียหาย ขณะเดียวกันมีรายงานไฟไหม้ในบางพื้นที่ของอาโอโมริ ซึ่งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงควบคุมได้ในเวลาไม่นาน
บนเครือข่ายคมนาคม ความเสียหายไม่ได้ระดับ “หายนะ” แต่ก็รุนแรงพอทำให้คนญี่ปุ่นลำบากไม่น้อย
- รถไฟความเร็วสูง โทโฮคุชินกังเซน ต้องหยุดให้บริการระหว่างโมริโอกะ–ชินอาโอโมริชั่วคราว เพื่อเช็กความปลอดภัยของรางและระบบไฟฟ้า
- รถไฟท้องถิ่นหลายสายในภูมิภาคโทโฮคุหยุดเดิน หรือวิ่งแบบลดความเร็ว
- ทางด่วนหลายช่วงถูกปิดเพื่อสำรวจสะพานและโครงสร้างถนน
- สนามบินบางแห่งเช่นนิวชิโตเสะมีรายงานความเสียหายเล็กน้อย ต้องตรวจสอบรันเวย์อย่างละเอียดก่อนกลับมาเปิดบริการเต็มรูปแบบ
ด้านระบบพลังงาน บริษัทไฟฟ้าในฮอกไกโดและโทโฮคุรายงานว่ามีบ้านเรือนหลายร้อยถึงหลักพันหลังไฟดับทันทีหลังแผ่นดินไหว ก่อนจะทยอยจ่ายไฟคืนครบในช่วงเช้า ขณะที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์สำคัญอย่างฮิกาชิโดโอริ ออนางาวะ รวมถึงพื้นที่ฟุกุชิมะ ไม่มีรายงานความผิดปกติร้ายแรง มีเพียงการหยุดการปล่อยน้ำที่ผ่านการบำบัดจากฟุกุชิมะชั่วคราวเพื่อความปลอดภัยเท่านั้น

ทำไม “แผ่นดินไหวญี่ปุ่น” ถึงเกิดบ่อย – คำตอบอยู่บนวงแหวนแห่งไฟ
ญี่ปุ่นไม่ได้โชคร้าย แต่ “ตั้งอยู่ในที่อันตราย” ตั้งแต่แรก เพราะประเทศทั้งประเทศวางตัวอยู่บนแนว Pacific Ring of Fire – วงแหวนแห่งไฟแปซิฟิก จุดที่แผ่นเปลือกโลกหลายแผ่นชนและมุดตัวเข้าหากัน ทำให้เกิดทั้งภูเขาไฟระเบิดและแผ่นดินไหวขนาดใหญ่บ่อยครั้ง นักธรณีวิทยาประเมินว่า ญี่ปุ่นเจอแผ่นดินไหวประมาณ 1,500 ครั้งต่อปี คิดเป็นราว 18% ของแผ่นดินไหวทั่วโลกเลยทีเดียว
ด้วยภูมิประเทศแบบนี้ การเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7 ขึ้นไปจึงไม่ใช่เรื่อง “เหนือความคาดหมาย” แต่เป็นความจริงที่คนญี่ปุ่นต้องอยู่กับมันทุกวัน ความรุนแรงที่ประชาชนรู้สึกได้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเลขแมกนิจูดอย่างเดียว แต่เกี่ยวกับ
- ความลึกของศูนย์กลางแผ่นดินไหว
- ระยะห่างจากฝั่งและเมืองใหญ่
- ลักษณะชั้นดิน–หินใต้พื้นดิน
- เวลาที่เกิด (กลางวัน–กลางคืน)
แผ่นดินไหวครั้งนี้แม้จะ 7.5 แต่ลึกพอสมควรและศูนย์กลางอยู่กลางทะเล ทำให้พอ “บรรเทา” ความเสียหายบนแผ่นดินไปได้ระดับหนึ่ง

บทเรียนจากโทโฮคุ 2011 – ภาพจำที่ไม่มีใครลืม
ทุกครั้งที่มีข่าว แผ่นดินไหวญี่ปุ่น คนทั้งโลกจะหวนคิดถึงเหตุการณ์ใหญ่เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2011 หรือ “โทโฮคุ 2011” แผ่นดินไหวแมกนิจูด 9.0–9.1 นอกชายฝั่งฮนชูตะวันออก ที่กลายเป็นหนึ่งในภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงที่สุดของศตวรรษนี้
คลื่นสึนามิสูงหลายสิบเมตรซัดเข้าฝั่งด้วยความเร็วมหาศาล ทำลายเมืองชายฝั่งทั้งแนว ผู้เสียชีวิตและสูญหายรวมกันมากกว่า 18,000 ราย บ้านเรือนและอาคารพังเสียหายเป็นล้านหลัง และที่เลวร้ายยิ่งกว่าคืออุบัติเหตุร้ายแรงที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ฟุกุชิมะ ไดอิชิ ที่ระบบไฟฟ้าและระบบฉุกเฉินถูกน้ำทะเลทำลายจนเกิดการหลอมละลายของแกนปฏิกรณ์ ปล่อยสารกัมมันตรังสีออกสู่สิ่งแวดล้อมในวงกว้าง
เหตุการณ์ครั้งนั้นกลายเป็น “รอยแผลเป็นระดับชาติ” ที่ทำให้ญี่ปุ่นต้องยกระดับมาตรการป้องกันภัยพิบัติทุกมิติ ตั้งแต่เขื่อนกันคลื่น มาตรฐานอาคาร ระบบแจ้งเตือน ไปจนถึงการฝึกซ้อมหนีภัยในโรงเรียนและที่ทำงาน แผ่นดินไหวล่าสุดแถวอาโอโมริในปีนี้จึงไม่ใช่แค่เหตุการณ์เดี่ยวๆ แต่เป็น “การทดสอบซ้ำ” ว่าสิ่งที่ญี่ปุ่นลงทุนมานับสิบปีหลังปี 2011 ใช้งานได้จริงแค่ไหน

เงา “เมกะเควก” Nankai Trough – ความเสี่ยงที่ยังนับถอยหลัง
ในความรู้สึกของคนญี่ปุ่น แผ่นดินไหวขนาด 7–8 ไม่ใช่เรื่องไกลตัว และที่ทำให้หลายคนกังวลคือคำเตือนเรื่อง “เมกะเควก” บริเวณร่องลึกนังคาย (Nankai Trough) ทางด้านแปซิฟิกตอนใต้ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นแนวแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่ทำให้เกิดหายนะมาแล้วหลายครั้งในประวัติศาสตร์
คณะกรรมการวิจัยแผ่นดินไหวของรัฐบาลญี่ปุ่นประเมินว่า ในช่วง 30 ปีข้างหน้า มีโอกาสราว 60–90% ที่จะเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่มากบริเวณ Nankai Trough ซึ่งหากเกิดเต็มแมกนิจูดอาจมีขนาดเกิน 8.0 และสร้างความเสียหายระดับ “ประเทศเสียหายทั้งแนวชายฝั่ง” พร้อมความเสียหายทางเศรษฐกิจหลายล้านล้านดอลลาร์
แม้แผ่นดินไหวล่าสุดใกล้อาโอโมริจะอยู่คนละโซนกับ Nankai Trough แต่ทุกครั้งที่เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ ทางการญี่ปุ่นและนักวิทยาศาสตร์ก็จะหยิบ “การบ้านเรื่องเมกะเควก” กลับมาทบทวนเสมอ ว่าระบบเตือนภัยพร้อมแค่ไหน เมืองใหญ่–ท่าเรือ–โรงไฟฟ้า และประชาชนพร้อมรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่สุดมากน้อยเพียงใด
![]()
ระบบเตือนภัยและการรับมือของญี่ปุ่น – ทำไมตัวเลขเสียหายไม่พุ่ง
ญี่ปุ่นอาจเป็นหนึ่งในประเทศที่ “เสี่ยงที่สุด” เรื่องแผ่นดินไหว แต่ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ “เตรียมตัวดีที่สุด” เช่นกัน จุดสำคัญที่ช่วยลดความเสียหายในเหตุการณ์ล่าสุดมีหลายข้อที่น่าเรียนรู้
- ระบบ Earthquake Early Warning ของ JMA
เครือข่ายเซนเซอร์วัดแผ่นดินไหวของญี่ปุ่นสามารถตรวจจับคลื่น P (คลื่นเบา) ที่มาถึงก่อนคลื่น S และคลื่นผิวดิน แล้วประมวลผลส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้าทางทีวี วิทยุ มือถือ และระบบเสียงตามสาย ให้คนมีเวลาไม่กี่วินาทีถึงเกือบนาทีในการหมอบ–หลบ–ป้องกันตัวเองก่อนแรงสั่นหลักจะมาถึง - มาตรฐานอาคารที่โหดที่สุดชาติหนึ่งของโลก
ตึกสูง อาคารสาธารณะ และบ้านเรือนใหม่ในญี่ปุ่นต้องผ่านมาตรฐานกันแผ่นดินไหวเข้มข้น หลังบทเรียนจากเหตุการณ์ใหญ่หลายครั้ง เช่น โกเบ 1995 และโทโฮคุ 2011 โครงสร้างอาคารสมัยใหม่จึง “ยืดหยุ่น” พอรับแรงสั่นโดยไม่ถล่มง่ายๆ - ระบบหยุดรถไฟอัตโนมัติ
เมื่อมีแรงสั่นระดับหนึ่ง ระบบจะสั่งให้รถไฟและชินกังเซนชะลอหรือหยุดโดยอัตโนมัติ ลดความเสี่ยงตกรางหรือชนกัน ช่วยให้การเดินทางปลอดภัยขึ้นอย่างชัดเจน - การซ้อมหนีภัยเป็นวัฒนธรรม
นักเรียนญี่ปุ่นเติบโตมากับการซ้อมแผ่นดินไหว–ซ้อมสึนามิทุกปี คนทำงานมีคู่มือฉุกเฉินในออฟฟิศ แผ่นพับแนะนำการอพยพถูกแจกเป็นเรื่องปกติ สิ่งเหล่านี้ทำให้เมื่อเกิดเหตุจริง ประชาชน “รู้แล้วว่าต้องทำอะไร” ไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน
ทั้งหมดนี้คือเหตุผลว่าทำไม แผ่นดินไหว 7.5 ครั้งล่าสุด ถึงทำให้เจ็บหลายสิบ–ระบบเมืองสะเทือน แต่ยังไม่กลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหม่ระดับโทโฮคุ

ถ้าเราอยู่ญี่ปุ่นหรือไปเที่ยว แล้วเจอแผ่นดินไหว ควรทำอย่างไร
เนื้อหานี้ไม่ใช่แค่สำหรับคนญี่ปุ่น แต่สำหรับคนไทยที่ไปเที่ยว ไปเรียน หรือไปทำงานที่ญี่ปุ่นด้วย เพราะประเทศนี้ “แผ่นดินไหวคือเรื่องปกติ” สิ่งที่ควรจำแบบสั้นๆ คือ
- อยู่ในอาคาร
- หมอบใต้โต๊ะหรือเฟอร์นิเจอร์แข็ง ยึดขาโต๊ะไว้
- อยู่ห่างจากหน้าต่าง กระจก ของแขวนบนผนัง
- อย่าวิ่งกรูลงบันไดหรือแห่ขึ้นลิฟต์ในตอนที่แรงสั่นยังไม่หยุด
- อยู่นอกอาคาร
- อยู่ให้ห่างจากตึกสูง ป้ายโฆษณา เสาไฟ และกระจก
- หาที่โล่ง เช่น สนามหรือสวนสาธารณะ
- อยู่ใกล้ทะเลและรู้สึกแรงสั่นนาน–แรง
- อย่ารอประกาศเตือน ถ้าอยู่ติดชายฝั่งและรู้สึกสั่นแรง/นาน ให้รีบมุ่งหน้าไปที่สูงทันที
- เมื่อไปถึงที่ปลอดภัยแล้วค่อยตามข่าวจากทีวี วิทยุ หรือแอปฯ ของทางการ
การเตรียม “ชุดฉุกเฉินเล็กๆ” เช่น น้ำดื่ม อาหารแห้ง ยาใช้ประจำ แบตสำรอง เอกสารสำคัญ ก็ช่วยให้รับมือสถานการณ์ที่ต้องอยู่ในศูนย์อพยพหรือไฟดับได้ดีขึ้นมาก

มุมมองบ้านกีฬา: แผ่นดินไหวครั้งนี้คือเสียงเตือนให้ทั้งภูมิภาคตื่น
ในสายตา บ้านกีฬา เหตุการณ์ แผ่นดินไหวญี่ปุ่น 7.5 ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ข่าวต่างประเทศแวบเดียวแล้วผ่านไป แต่คือ “เสียงเตือน” ดังๆ สำหรับทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- ญี่ปุ่นยังต้องเผชิญความเสี่ยง “เมกะเควก” ในอีกหลายสิบปีข้างหน้า
- เมืองท่องเที่ยวและเมืองท่าในหลายประเทศ รวมถึงไทยเอง ก็มีความเสี่ยงจากสึนามิระดับหนึ่ง
- เศรษฐกิจระดับโลกยังผูกกับญี่ปุ่น ทั้งด้านอุตสาหกรรม เทคโนโลยี และโลจิสติกส์ หากเกิดหายนะใหญ่จริง ผลกระทบจะสะเทือนทั้งห่วงโซ่
แผ่นดินไหวครั้งนี้จึงเป็นเหมือน “เกมอุ่นเครื่องของธรรมชาติ” ที่บอกเราว่า ระบบเตือนภัย แผนรับมือ และวัฒนธรรมการเตรียมพร้อม ต้องเป็นเรื่องจริงจังพอๆ กับเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง และกีฬา ไม่อย่างนั้นวันหนึ่งเมื่อเสียงไซเรนดังขึ้น เราอาจไม่มีเวลาพอจะแก้เกม

สรุปภาพรวมแผ่นดินไหวญี่ปุ่นครั้งล่าสุด
- แผ่นดินไหวขนาด 7.5 แมกนิจูด นอกชายฝั่งอาโอโมริ เวลาใกล้เที่ยงคืน สั่นสะเทือนไปไกลถึงโตเกียว
- JMA ออกคำเตือนสึนามิสำหรับชายฝั่ง ฮอกไกโด–อาโอโมริ–อิวาเตะ ก่อนวัดคลื่นได้สูงสุดราว 70 เซนติเมตร แล้วค่อยๆ ลดระดับคำเตือนและยกเลิกในเช้าวันถัดมา
- มีผู้บาดเจ็บหลายสิบราย ไฟดับในบางพื้นที่ รถไฟและ ชินกังเซน หลายเส้นทางต้องหยุดวิ่งชั่วคราว แต่ไม่มีรายงานความเสียหายรุนแรงหรือปัญหาร้ายแรงที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์
- เหตุการณ์นี้ตอกย้ำภาพลักษณ์ว่า ญี่ปุ่นคือประเทศแผ่นดินไหวอันดับต้นๆ ของโลก แต่ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่เตรียมพร้อมรับมือดีที่สุดเช่นกัน
- สำหรับคนไทย คำว่า “แผ่นดินไหวญี่ปุ่น” ไม่ควรเป็นแค่หัวข้อข่าว แต่ควรเป็นจุดเริ่มต้นในการทบทวนแผนหนีภัย ความเข้าใจเรื่องสึนามิ และการเตรียมพร้อมเมื่อเดินทางไปประเทศที่มีความเสี่ยงสูง
และแน่นอน บ้านกีฬา จะยังคอยเกาะติดทั้ง ข่าวเด่น แผ่นดินไหวล่าสุด สถานการณ์ญี่ปุ่น และประเด็นร้อนทั่วโลก แบบเจาะลึก เข้มข้น และเข้าใจง่ายเหมือนเดิม แฟนข่าวที่ไม่อยากพลาดทุกจังหวะสำคัญของโลกวันนี้ อย่าลืมติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ได้ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา

