สรุปภาพใหญ่คดี “ณัฐวุฒิ ช่อง 8” กับร่องรอยสารพิษในกระเพาะ
คดีการเสียชีวิตของ ณัฐวุฒิ ปงลังกา วัย 35 ปี อดีตผู้สื่อข่าวช่องดังที่ จ.นนทบุรี กลายเป็นหนึ่งในคดีที่สังคมจับตามองมากที่สุดช่วงปลายปี เมื่อผลชันสูตรเบื้องต้นพบสารพิษอย่าง “ไซยาไนด์” อยู่ในกระเพาะอาหาร จนตำรวจต้องสั่ง “ปิดล็อกบ้าน” ปูพรมเก็บหลักฐาน และเรียกเพื่อนสนิท 6 คนมาสอบเครียด
ภาพที่เห็นในวันพบศพ – ร่างผู้ตายนอนหงายบนผ้าปูในห้องนั่งเล่นชั้นล่าง บ้านทาวน์โฮม 2 ชั้น ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ไม่มีบาดแผลชัดเจน ข้าวของไม่ถูกรื้อค้น ทุกอย่าง “เรียบร้อยเกินไป” สำหรับความตายที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับสารพิษร้ายแรง
สำหรับ บ้านกีฬา นี่ไม่ใช่แค่ “ข่าวอาชญากรรม” ธรรมดา แต่เป็นคดีที่โยงไปถึงคำถามใหญ่เรื่อง ความปลอดภัยจากสารพิษ, การสืบสวนเชิงนิติวิทยาศาสตร์ และบทเรียนที่ประชาชนทุกคนควรรู้เกี่ยวกับสารอย่างไซยาไนด์ ที่มองไม่เห็น แต่รุนแรงพอจะพรากชีวิตได้ในเวลาไม่กี่เสี้ยวนาที
ไทม์ไลน์คืนสังสรรค์ ก่อนกลายเป็นคืนมรณะ
ย้อนกลับไปคืนก่อนพบศพ ภายในบ้านที่ ต.บางกรวย อ.บางกรวย จ.นนทบุรี มีเพื่อนของผู้ตายราว 5–6 คนมานั่งพูดคุยกันในบ้าน บรรยากาศเหมือนการรวมตัวสังสรรค์ปกติ ก่อนที่ทุกคนจะทยอยกันกลับ เหลือคนอยู่กับผู้ตายเพียง 2 คนสุดท้าย ในช่วงเวลาก่อนที่ณัฐวุฒิจะล้มตัวลงนอนพักบริเวณห้องนั่งเล่นชั้นล่าง และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
เมื่อถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 ตำรวจ สภ.บางกรวย แพทย์นิติวิทยาศาสตร์ และเจ้าหน้าที่มูลนิธิเข้าตรวจสอบ ภาพในที่เกิดเหตุไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ไม่มีของแตกหัก ไม่มีบาดแผลภายนอกชัดเจน ทุกอย่างเหมือนการจากไปอย่างกะทันหัน
ญาติยืนยันว่า ผู้ตายมีโรคประจำตัวเป็นโรคหอบหืด แต่ไม่ใช่โรคที่ทำให้หมดสติและเสียชีวิตแบบเฉียบพลันทุกกรณี จึงจำเป็นต้องส่งศพไปตรวจละเอียดที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

จุดเปลี่ยนคดี – ผลชันสูตรพบ “สารพิษในกระเพาะอาหาร”
วันที่ 4 ธันวาคม 2568 กลายเป็นจุดหักเหสำคัญของคดี เมื่อแพทย์สถาบันนิติวิทยาศาสตร์แจ้งผลชันสูตรเบื้องต้น (แบบไม่เป็นทางการ) ว่าพบ “สารพิษในกระเพาะอาหาร” ซึ่งต่อมาถูกระบุว่าเป็นสารในกลุ่ม ไซยาไนด์
แม้ยังต้องรอผลยืนยันอย่างเป็นทางการอีกครั้ง แต่เพียงข้อมูลเบื้องต้นนี้ก็เพียงพอให้ทีมสืบสวน “เปลี่ยนเกียร์” จากการพิจารณาในมุมโรคประจำตัว มาสู่การสืบสวนเชิงลึกในมุม สารพิษและการถูกวางยา
หลังทราบข้อมูลดังกล่าว ตำรวจประสานกองสืบสวนภูธรจังหวัดนนทบุรี และชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 1 ลงพื้นที่ร่วมตรวจค้นบ้านอีกครั้ง เก็บทุกชิ้นส่วนที่อาจเป็นพยานหลักฐาน ทั้งภาชนะ เครื่องดื่ม วัตถุต้องสงสัย รวมถึงดึงภาพจากกล้องวงจรปิดในหมู่บ้าน เพื่อตรวจสอบบุคคลที่เข้า–ออกบ้านอย่างละเอียด
ภาพจากกล้องวงจรปิดบันทึกได้ว่า เวลาประมาณ 11.30 น. ของวันเกิดเหตุ รถมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งเข้าบ้านเพื่อรับร่างผู้เสียชีวิต และนำออกจากหมู่บ้านเวลาประมาณ 12.06 น. ซึ่งเวลาเหล่านี้กลายเป็น “กรอบเวลา” ที่ตำรวจใช้ไล่เรียงเหตุการณ์ประกอบกับคำให้การของพยาน
ไซยาไนด์คืออะไร? ทำไมถึงถูกเรียกว่า “สารพิษเงียบ”
คำว่า ไซยาไนด์ อาจฟังเหมือนคำในหนังอาชญากรรม แต่ในโลกความจริง มันคือสารพิษที่ทรงพลังมากชนิดหนึ่ง ใช้กันในบางอุตสาหกรรม เช่น การชุบโลหะ เหมืองทอง หรือเคมีภัณฑ์บางประเภท แต่หากถูกใช้ผิดวัตถุประสงค์ หรือหลุดรอดเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ ก็สามารถเป็น “อาวุธมรณะ” ได้ทันที
สารในกลุ่มไซยาไนด์ เช่น ไฮโดรเจนไซยาไนด์ (HCN) หรือเกลือไซยาไนด์บางชนิด มีคุณสมบัติสำคัญคือ
- ออกฤทธิ์เร็วมากเมื่อเข้าสู่ร่างกาย
- ไปขัดขวางการใช้ออกซิเจนของเซลล์ ทำให้เซลล์ “หายใจไม่ได้” แม้เราจะยังหายใจอยู่
- หากได้รับในปริมาณสูง สามารถทำให้หมดสติและเสียชีวิตได้ภายในเวลาอันสั้น
นั่นคือเหตุผลที่ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเรียกมันว่า “สารพิษเงียบ” เพราะบางกรณี ร่างผู้เสียชีวิตอาจดูเหมือน “คนนอนหลับปกติ” ไม่มีบาดแผล ไม่มีรอยเขียวช้ำ ไม่ได้ดูทรมานรุนแรงแบบที่คนส่วนใหญ่นึกภาพจากสารพิษในละคร

มุมมองผู้เชี่ยวชาญ: ทำไมศพยังดูปกติแม้พบไซยาไนด์
รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ หรือ “อ.อ๊อด” นักวิทยาศาสตร์ด้านเคมีที่มักมีบทบาทให้ความเห็นในคดีสารพิษชื่อดัง อธิบายว่า ไฮโดรเจนไซยาไนด์เป็นสารพิษที่ไม่มีสีและไม่มีกลิ่นในหลายกรณี จึงแทบไม่มีสัญญาณเตือนก่อนจะออกฤทธิ์
อ.อ๊อด อธิบายหลัก ๆ ว่า
- สารไซยาไนด์จะไปบล็อกกระบวนการที่เลือดขนส่งออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ ทำให้ร่างกาย “ขาดออกซิเจนเฉียบพลัน”
- ผู้ที่ได้รับในปริมาณมากอาจหมดสติอย่างรวดเร็ว บางครั้งดูเหมือนแค่ล้มตัวลงนอนแล้วไม่ลุกขึ้นมาอีก
- บางรายริมฝีปากอาจมีสีชมพูอมแดง หรือพบเลือดออกเล็กน้อยที่ตา จากภาวะขาดออกซิเจน แต่ไม่ใช่ทุกกรณีที่เห็นได้ชัดเจนด้วยตาเปล่า
อ.อ๊อดยังเตือนด้วยว่า ไซยาไนด์ละลายได้ดีในน้ำและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ในโลกความจริง การปนเปื้อนในเครื่องดื่มถือเป็นจุดเสี่ยงสำคัญ ยิ่งในสถานการณ์ที่มีความขัดแย้ง มีหนี้สิน หรือความบาดหมางระหว่างบุคคล ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ ไม่ควรดื่มจากภาชนะที่ไม่แน่ใจที่มา หรือรับเครื่องดื่มจากคนที่ไม่น่าไว้ใจ
ด้าน นพ.วีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ก็ยืนยันในหลักการว่า จากการตรวจสอบพบไซยาไนด์ในระดับที่ “เพียงพอจะทำให้เสียชีวิตได้” และยังมีการตรวจหาสารอื่น ๆ ควบคู่กัน ซึ่งข้อมูลส่วนนี้จะถูกส่งต่อไปยังหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ประกอบการวิเคราะห์ทิศทางคดีในภาพรวม
ทำไมตำรวจต้อง “ปิดล็อกบ้าน” และเร่งเค้นเพื่อนสนิท 6 คน
เมื่อผลตรวจเบื้องต้นชี้ไปที่ สารพิษ ทันทีที่รู้ข้อมูล เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจ “ล็อกพื้นที่” อย่างจริงจัง มีการขึงเทป Police Line รอบบ้านทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้นของณัฐวุฒิ เพื่อกันบุคคลภายนอกเข้าใกล้ และรักษาสภาพพยานหลักฐานให้ใกล้เคียงวันเกิดเหตุที่สุด
ในเชิงสืบสวน นี่คือขั้นตอนสำคัญ เพราะ
- ขวด แก้ว ภาชนะ หรือคราบสารบางอย่าง อาจเป็นกุญแจสำคัญผูกโยงว่า ไซยาไนด์เข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร
- กล้องวงจรปิดในหมู่บ้านจะช่วยไล่เรียงว่า ใครเข้า–ออกบ้านในช่วงเวลาก่อน–หลังผู้ตายเสียชีวิต
- การสอบปากคำเพื่อน 5–6 คนที่มานั่งคุยในคืนก่อนเสียชีวิต โดยเฉพาะ 2 คนที่อยู่ด้วยในช่วงเวลาสุดท้าย จะเป็นข้อมูลเปรียบเทียบกับหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์
ร.ต.อ.อังคาร ศรีโยธะ รอง สว.(สอบสวน) ผู้รับผิดชอบคดี ยืนยันว่าทุกสมมติฐานยัง “ไม่ถูกตัดทิ้ง” ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุ การใช้สารเอง หรือการถูกวางยา ทุกอย่างต้องรอผลทางการแพทย์ ควบคู่ไปกับคำให้การของพยานและหลักฐานแวดล้อม
ครอบครัว “นัทปง” พิธีเผาหลอก – ส่งศพเข้ากรุงเพื่อตรวจซ้ำ
ขณะที่ด้านกระบวนการทางคดีเดินหน้าไป ครอบครัวของณัฐวุฒิก็เดินหน้าในมิติทางจิตใจและศาสนา
วันที่ 6 ธันวาคม 2568 บริเวณศาลาหน้าวัดริมกก ม.4 ต.ริมกก อ.เมืองเชียงราย บ้านเกิดของผู้ตายเต็มไปด้วยญาติ เพื่อน และคนรู้จักที่มาร่วมงานศพ “นัทปง” หรือ “กุ้ง” ในบรรยากาศเศร้าแต่แน่วแน่ ต้องการ “คำตอบที่ชัดเจน” จากกระบวนการยุติธรรม
ช่วงเช้ามีพิธีสวดมาติกาและพิธีตัดกรรม ก่อนจะเคลื่อนศพไปทำพิธี “เผาหลอก” ที่ฌาปนสถานบ้านริมกก ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 1 กิโลเมตร เพื่อความเป็นสิริมงคลตามความเชื่อของครอบครัวและชุมชน
จากนั้นช่วงค่ำ ญาติเตรียมเคลื่อนศพกลับเข้ากรุงเทพฯ เพื่อตรวจชันสูตรซ้ำอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยได้ประสานทีมกู้ภัยสมาคมแสงธรรมสาธารณกุศลเชียงรายเป็นผู้รับหน้าที่เคลื่อนย้าย หลังทีมกู้ภัยของบิณฑ์ บันลือฤทธิ์ติดภารกิจไม่สามารถเดินทางมาได้ทัน
ทั้งหมดนี้สะท้อนชัดว่า ครอบครัว “ไม่ได้ต้องการดราม่า” แต่ต้องการเพียง ความจริง ว่าอะไรเกิดขึ้นกับลูกหลานของพวกเขาในคืนสุดท้ายของชีวิต
บทเรียนจากคดีไซยาไนด์ – ความรู้ที่ทุกคนควรรู้
แม้คดีนี้ยังต้องรอผลอย่างเป็นทางการ แต่สำหรับประชาชนทั่วไป มีหลายเรื่องที่ควรเก็บเป็น “บทเรียนสำคัญ” เกี่ยวกับสารพิษร้ายแรงอย่าง ไซยาไนด์ และสารอันตรายอื่น ๆ
- สารพิษหลายชนิด “มองไม่เห็น” และ “ไม่มีรสหรือกลิ่นชัดเจน” การตัดสินใจดื่มหรือกินอะไรจากคนแปลกหน้า หรือบุคคลที่มีความขัดแย้งกับเรา ไม่ใช่เรื่องเล็ก
- การเก็บสารเคมีอันตรายในบ้านหรือที่ทำงาน ต้องอยู่ในระบบที่ปลอดภัยและมีการควบคุม ไม่ให้บุคคลทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย
- หากพบคนมีอาการผิดปกติรุนแรงเฉียบพลัน เช่น หายใจติดขัด หมดสติรวดเร็ว โดยไม่มีประวัติโรคชัดเจน ต้องรีบแจ้งแพทย์และเจ้าหน้าที่ให้พิจารณาประเด็น “สารพิษ” อย่างจริงจัง
คดีในอดีตหลายกรณีทั้งในไทยและต่างประเทศเคยสะท้อนมาแล้วว่า ความรู้เรื่องสารพิษและการเก็บหลักฐานตั้งแต่ชั่วโมงแรก เป็นตัวแปรสำคัญว่า คดีจะถูกคลี่คลายได้เร็วหรือช้า
ทำไมคดีนี้สังคมถึงจับตาเป็นพิเศษ
เหตุผลที่คดีของ “ณัฐวุฒิ ปงลังกา” ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่เพียงเพราะผู้ตายเป็นอดีตนักข่าวช่องดัง แต่เพราะมันแตะหลายประเด็นที่สังคมไทยให้ความสนใจ
- บทบาทของ นิติวิทยาศาสตร์ ในการคลี่คลายคดี
- การทำงานของตำรวจว่า “ละเอียดพอหรือไม่” ตั้งแต่ชั่วโมงแรก
- ความปลอดภัยของประชาชน เมื่อสารพิษอย่างไซยาไนด์สามารถเข้าใกล้ชีวิตคนธรรมดาได้เพียงผ่าน “เครื่องดื่มหนึ่งแก้ว”
บ้านกีฬา มองว่านี่คือคดีที่ไม่ได้มีแค่ “ปริศนาการตายของนักข่าวคนหนึ่ง” แต่เป็นกระจกสะท้อนทั้งเรื่อง มาตรฐานการสืบสวน, การควบคุมสารพิษ, และ สิทธิของครอบครัวผู้เสียชีวิตที่จะได้รับคำตอบที่ตรงไปตรงมา

สรุป: คดีไซยาไนด์ที่ต้องการคำตอบ และบททดสอบความเชื่อมั่นของสังคม
คดีนี้ยังไม่ถึงบทสรุปสุดท้าย ทุกฝ่ายยังต้องรอผลชันสูตรอย่างเป็นทางการจากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และผลสอบปากคำเพื่อนสนิท 6 คน ตลอดจนข้อมูลจากวงจรปิดและพยานแวดล้อมอื่น ๆ
แต่ในระหว่างที่กระบวนการยุติธรรมเดินไปทีละขั้น สิ่งที่สะท้อนออกมาชัดเจนแล้วคือ
- ชีวิตคนคนหนึ่งสามารถถูกพรากไปได้อย่างรวดเร็วจาก สารพิษที่มองไม่เห็น
- ครอบครัวผู้ตายมีสิทธิเต็มที่ที่จะขอความกระจ่าง และภาครัฐมีหน้าที่ต้องตอบด้วย “ข้อเท็จจริง” ไม่ใช่แค่คำปลอบใจ
- สังคมไทยควรจริงจังกับประเด็น ความปลอดภัยจากสารพิษ ไม่แพ้ประเด็นอาชญากรรมรูปแบบอื่น
บ้านกีฬา จะยังติดตามคดีนี้ต่อ ว่าสุดท้ายแล้วคำตอบจะชี้ไปในทิศทางใด และบทเรียนอะไรที่สังคมไทยต้องจดจำจากชื่อของ ณัฐวุฒิ ปงลังกา และเงาของคำว่า ไซยาไนด์ ที่ทิ้งไว้กลางวงการสื่อ
แฟนข่าวที่อยากตามทุกมุมของ ข่าวเด่น และไม่อยากพลาด ข่าววันนี้ ที่เขย่าทั้งประเทศ อย่าลืมติดตามความเคลื่อนไหวต่อเนื่องได้ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา

