Code Red คืออะไร และทำไมถึงเขย่าโลก AI ได้ทั้งใบ
ในโลกธุรกิจ เวลา CEO ออกมาพูดคำว่า “Code Red” ไม่ใช่แค่คำเท่ๆ แต่คือสัญญาณเตือนขั้นวิกฤตให้ทั้งองค์กร “เปลี่ยนเกียร์เข้าโหมดสงคราม” ทันที และครั้งนี้ไม่ได้เกิดในสนามกีฬา แต่เกิดในสนาม ปัญญาประดิษฐ์ เมื่อ Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ส่งอีเมลภายในถึงพนักงานว่า
“We are at a critical time for ChatGPT.”
“ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญอย่างยิ่งสำหรับ ChatGPT”
เบื้องหลังคือการมาของ Google Gemini 3 โมเดล AI ตัวใหม่ของกูเกิล ที่กวาดคะแนนบนบอร์ด benchmark หลายชุด จนสื่อเทคโนโลยีและสายเดฟยกให้เป็นหนึ่งในโมเดลที่ “แรงสุดในโลกตอนนี้” โดยเฉพาะด้าน reasoning และงานมัลติโหมด (ข้อความ–ภาพ–วิดีโอ)
ฝั่ง OpenAI เองแม้จะมี ChatGPT ที่มีผู้ใช้งานระดับ 800 ล้านคนต่อสัปดาห์ และเพิ่งฉลองครบรอบ 3 ปีไปหมาดๆ แต่แรงกดดันจากคู่แข่งก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจาก Google Gemini 3, โมเดลสายจริงจังอย่าง Claude และการไล่บี้จากบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีเงินและดาต้าในมือมหาศาล
บ้านกีฬา มองว่า “Code Red” ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของบริษัทเดียว แต่มันคือภาพสะท้อนศึกชิงบัลลังก์ “ผู้นำ AI โลก” ที่เริ่มเปลี่ยนจากเกมโชว์ของเล่นใหม่ กลายเป็นเกมธุรกิจระดับหลายล้านล้านดอลลาร์ไปแล้ว

ศึก ChatGPT vs Gemini 3: เมื่อแชมป์เก่าถูกไล่กดดัน
ตามรายงานจากหลายสำนัก Gemini 3 ทำผลงานโดดเด่นในหลาย benchmark ทั้งด้านการคิดเชิงตรรกะ การเขียนโค้ด และการประมวลผลมัลติมีเดียแบบครบชุด ขณะที่ Google โหมโฆษณาว่านี่คือ “โมเดลที่ฉลาดที่สุดในโลกของกูเกิล” และใส่ลงในบริการต่างๆ ของตัวเองอย่างรวดเร็ว ทั้ง Search, Workspace และ Android
ความร้อนแรงของ Gemini 3 ไม่ได้อยู่แค่ตัวเลขทดสอบ แต่เริ่มสะเทือนถึงสายผู้ใช้งานตัวจริง อย่าง Marc Benioff ซีอีโอ Salesforce ที่โพสต์บน X ว่าใช้ ChatGPT มาทุกวัน 3 ปีเต็ม แต่พอลองใช้ Gemini 3 แค่ 2 ชั่วโมงก็ประกาศว่า “I’m not going back” พร้อมบอกว่าความต่างด้านการให้เหตุผล ความเร็ว ภาพ วิดีโอ “ก้าวกระโดดแบบบ้าคลั่ง”
มุมหนึ่งนี่คือการตลาด แต่มุมหนึ่งก็สะท้อนความจริงว่า ตอนนี้ สงคราม AI ไม่ได้แข่งแค่ใครปล่อยฟีเจอร์เยอะกว่า แต่แข่งกันที่ “คุณภาพของคำตอบ–ความเร็ว–ความแม่น–และประสบการณ์ใช้งาน” แบบแพ็กเกจรวม
OpenAI กดเบรกโปรเจ็กต์ยิบย่อย โฟกัสอัปเกรด ChatGPT
ในบรรยากาศแบบนี้ Sam Altman จึงสั่ง “Code Red” เพื่อดึงทรัพยากรในบ้านกลับมาโฟกัสที่ ChatGPT เต็มสปีด รายงานจากสื่อธุรกิจระดับโลกอย่าง Financial Times และ Reuters ระบุว่า OpenAI จะ “พัก” หรือชะลอหลายโปรเจ็กต์ลงชั่วคราว เช่น
- ระบบโฆษณาใน ChatGPT
- โปรเจ็กต์ AI agents สำหรับช้อปปิ้ง–สุขภาพ
- ผู้ช่วยส่วนตัวรูปแบบใหม่บางตัว (เช่น Pulse)
แล้วหันมาลุยเต็มที่กับการเพิ่ม ความเร็ว ความเสถียร การให้เหตุผล และความเป็นส่วนตัวของ ChatGPT แทน
มีรายงานด้วยว่า OpenAI เตรียมปล่อยโมเดลด้าน reasoning รุ่นใหม่ที่ภายในเชื่อว่าทำผลงานดีกว่า Gemini 3 ในการทดสอบของตัวเองด้วย ซึ่งถ้าเป็นจริงก็จะกลายเป็น “หมัดสวน” สำคัญในศึกปลายปีนี้
ตัวเลขโหดๆ เบื้องหลัง ChatGPT: รายได้โตแรง แต่ค่าใช้จ่ายแรงกว่า
ด้านธุรกิจ OpenAI วันนี้ไม่ใช่สตาร์ตอัปเล็กๆ อีกต่อไป ล่าสุดบริษัทถูกประเมินมูลค่าราว 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 18 ล้านล้านบาท) หลังดีลขายหุ้นพนักงานให้กลุ่มนักลงทุนอย่าง SoftBank และ Thrive Capital เสร็จสิ้น กลายเป็นหนึ่งในสตาร์ตอัปที่โตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์สายเทคฯ
แต่ในขณะเดียวกัน Altman ก็ยอมรับเองว่า OpenAI ยังขาดทุนอยู่ แม้คาดว่าจะปิดปีด้วยรายได้ต่อปี (annualized revenue) มากกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์ และตั้งเป้าโตขึ้นไปถึง “hundreds of billions” ภายในปี 2030
สาเหตุหลักไม่ใช่อะไรนอกจาก “ค่าไฟ–ค่าศูนย์ข้อมูล–ค่าชิป” ที่ถูกล็อกไว้ด้วยแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI มหาศาลราว 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ใน 8 ปีข้างหน้า ผ่านดีลกับบริษัทยักษ์อย่าง Nvidia, Oracle และโครงการ Stargate ที่ตั้งใจสร้างศูนย์ AI compute ระดับหลายสิบกิกะวัตต์ในสหรัฐฯ
Altman ถึงขั้นระบุว่า
ความเสี่ยงที่ OpenAI “มีคอมพิวต์ไม่พอใช้” น่ากลัวกว่าความเสี่ยงที่จะ “สร้างไว้เยอะเกินไป” เสียอีก
ไม่น่าแปลกที่เขาต้องกด “Code Red” เพราะถ้า ChatGPT สะดุด หรือถูกมองว่าตามคู่แข่งไม่ทัน ทั้งตัวเลขรายได้และความชอบธรรมในการลงทุนหนักระดับล้านล้านดอลลาร์ก็อาจถูกตั้งคำถามทันที

แล้ว ChatGPT วันนี้ไปถึงไหนแล้วในโลกจริง
แม้จะถูกคู่แข่งไล่บี้ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ChatGPT ยังเป็น “ประตูหลัก” ที่คนทั่วโลกใช้เข้าโลก AI แบบรายวัน
- ผู้ใช้งานรายสัปดาห์ประมาณ 800 ล้านคน ทั่วโลก
- ใช้ทำได้ตั้งแต่งานเขียน ตีความข้อมูล เขียนโค้ด ไปจนถึงช่วยเรียนหนังสือภาษา–คณิต–วิทย์
- เริ่มถูกใช้ผูกกับระบบ search มากขึ้นเรื่อยๆ มีรายงานว่าตอนนี้ ChatGPT ถือสัดส่วนราว 10% ของทราฟฟิกค้นหาบางกลุ่ม และยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หัวหน้าทีม ChatGPT, Nick Turley ยังออกมาโพสต์ในโอกาสครบรอบ 3 ปีของบริการนี้ว่า เป้าหมายต่อจากนี้คือทำให้ ChatGPT “เก่งขึ้น เข้าถึงคนมากขึ้น และใช้ได้เป็นส่วนตัว–เป็นธรรมชาติมากขึ้น” ทั้งในมุมคนทั่วไป ธุรกิจ และผู้ใช้งานในประเทศที่ยังเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ เท่าที่ควร
สำหรับคนใช้งานจริง สิ่งที่เห็นชัดคือ ChatGPT รุ่นล่าสุด (อย่างเช่น ChatGPT-5.1) เริ่มทำได้มากกว่าแค่ตอบคำถามธรรมดา แต่เข้าใจบริบทเก่งขึ้น วางแผนงานได้เป็นขั้นตอน ถอดบทเรียน วิเคราะห์แนวโน้ม และเขียนโค้ดโปรเจ็กต์ยาวๆ ได้ใกล้เคียงผู้ช่วยมืออาชีพมากขึ้นเรื่อยๆ
คู่แข่งล้อมวงครบ: Google, Anthropic, Microsoft, Apple ไม่มีใครยอมใคร
สงคราม AI ปี 2025 ไม่ได้มีแค่ OpenAI vs Google เท่านั้น
- Google กดคันเร่งเต็มที่กับ Gemini 3 ทั้งเวอร์ชัน Pro และ Deep Think ที่เน้นงาน reasoning หนักๆ พร้อมปักธงว่าเป็น “สมองกลาง” ให้ทุกบริการของตัวเอง ตั้งแต่การค้นหา อีเมล ยัน Workspace ทั้งชุด
- Anthropic ที่มีทั้ง Amazon และ Google ลงทุน ก็ดันโมเดลสายจริงจังอย่าง Claude 4.5 เข้าชิงส่วนแบ่งตลาดคนทำงาน สายโค้ด และองค์กรขนาดใหญ่
- Microsoft เป็นพาร์ตเนอร์หลักของ OpenAI อยู่แล้ว ทั้งลงทุนระดับหลายหมื่นล้านดอลลาร์และเอา ChatGPT ไปใส่ใน Copilot ทั่วระบบ Windows–Office–Azure ขณะที่ตัวเองก็เร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับแผนลงทุน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ของ OpenAI ไปพร้อมกัน
- ฝั่ง Apple ที่เคยถูกมองว่าช้าในสนาม AI ก็เพิ่งขยับแรง แต่งตั้ง Amar Subramanya อดีตผู้บริหารสาย AI จาก Microsoft และอดีตหัวหน้าทีมวิศวกรรมของผู้ช่วย Gemini ที่ Google ขึ้นเป็นรองประธานฝ่าย AI คนใหม่ หลัง Siri รุ่นใหม่โดนเลื่อนฟีเจอร์อัปเกรดไปปี 2026
ทั้งหมดนี้ทำให้ภาพใหญ่ชัดขึ้นว่า AI ไม่ใช่เทรนด์ชั่วคราว แต่มันคือ “ลีกสูงสุด” ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในทศวรรษนี้ ใครพลาดจังหวะ หรืออ่านเกมผิดเพียงไม่กี่ปี อาจต้องถอยจากแถวหน้าแบบถาวร
มุมมองนักวิเคราะห์: Code Red ของ OpenAI เป็นสัญญาณจริง หรือแค่เสียงไซเรนดังเกินไป
บทวิเคราะห์จากสำนักข่าวการเงินระดับโลกอย่าง Reuters ชี้ว่า การที่ Sam Altman กด “กระจกแตก” ประกาศ Code Red มีทั้งด้านบวกและด้านที่ต้องจับตา
ด้านหนึ่งมันคือการยอมรับว่าบริษัทกำลังทำอะไร “เยอะเกินไปในเวลาเดียวกัน” ทั้งดีลลงทุน สร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์โครงการ Stargate ร่วมกับพันธมิตรหลายเจ้า ลงทุนใน Thrive Holdings เพื่อเร่งใช้ AI ในภาคธุรกิจ และจับมือกับ Accenture เพื่อขยายการใช้งานในองค์กรทั่วโลก รวมถึงโปรเจ็กต์สำหรับผู้ใช้ทั่วไปอย่างตัวช่วยดูเส้นทางซานต้าของ NORAD ด้วย
อีกด้านหนึ่ง นักวิเคราะห์เตือนว่า แค่กดปุ่ม “ตื่นตระหนก” อย่างเดียวไม่พอ สิ่งสำคัญคือการ “จัดลำดับความสำคัญให้ถูก” ว่าปัญหาหลักจริงๆ คืออะไร แล้วรีดทรัพยากรมาจัดการจุดนั้นให้เด็ดขาด ซึ่งนี่คือสิ่งที่หลายคนจับตาดูอยู่ว่า OpenAI จะทำได้อย่างที่ประกาศหรือไม่
สำหรับคนใช้ ChatGPT: จะเล่นให้คุ้มในยุคศึกโมเดลยังไงดี
จากมุม ผู้ใช้งาน ศึกเดือดระหว่าง ChatGPT, Gemini 3, Claude และโมเดลอื่นๆ จริงๆ แล้วคือ “ข่าวดี” เพราะการแข่งขันยิ่งแรง คุณภาพบริการยิ่งต้องดีขึ้นตาม
บ้านกีฬาอยากฝากหลักง่ายๆ สำหรับคนที่ใช้ AI เป็นประจำในยุคที่โมเดลวิ่งแข่งกันทุกเดือนแบบนี้
- คิดแบบ “ใช้หลายโมเดล” แทนที่จะยึดติดตัวเดียว
งานบางอย่างเหมาะกับ ChatGPT เช่น การเขียน สรุป วิเคราะห์โครงสร้างความคิด ขณะที่ Gemini 3 อาจเด่นด้านการอ่านไฟล์ยาวๆ หลายโหมด หรือ Claude เด่นเรื่องโค้ดและการอ่านเอกสารกฎหมาย ฯลฯ การรู้จุดแข็งแต่ละตัวคือสกิลสำคัญของคนทำงานยุค AI - ใช้ AI เป็น “โค้ชคิด” ไม่ใช่ “เครื่องตอบแทนสมอง”
ไม่ว่าจะใช้ ChatGPT หรือเจ้าไหน ควรให้ AI ช่วยแตกไอเดีย วางโครง สร้างทางเลือก ก่อนที่เราจะเป็นคนตัดสินใจเองเสมอ เพราะสุดท้ายความรับผิดชอบต่อเนื้อหา–งาน–คำตัดสิน ยังอยู่ที่มนุษย์ - ระวังเรื่องข้อมูลส่วนตัวและความลับทางธุรกิจ
ต่อให้โมเดลจะปลอดภัยแค่ไหน กฎเหล็กคืออย่าใส่ข้อมูลที่ถ้า “หลุด” แล้วจะสร้างปัญหาหนัก เช่น เลขบัตรประชาชน ข้อมูลการเงินลึกๆ หรือความลับบริษัท - ฝึกทักษะการตั้งคำถาม (prompting)
ในยุค AI ใครตั้งคำถามเป็น คนนั้นได้เปรียบ การอธิบายบริบทให้ชัด บอกตัวอย่าง บอกโทน และเป้าหมายให้ครบ จะทำให้คำตอบจาก ChatGPT หรือโมเดลไหนๆ มีคุณภาพขึ้นแบบชัดเจน - เช็กแหล่งข้อมูลสำคัญเสมอ
AI เก่งขึ้นทุกวัน แต่ไม่ได้แปลว่าถูก 100% ทุกเรื่อง ถ้าเอาไปใช้ในงานสำคัญ ทั้งด้านกฎหมาย การแพทย์ หรือการเงิน ควรตรวจซ้ำจากแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือทุกครั้ง

บทสรุป – Code Red ครั้งนี้ คือเสียงเตือนว่า “ศึก AI ยังไม่จบง่ายๆ”
Sam Altman อาจจะกดปุ่ม “Code Red” เพื่อปลุก OpenAI ให้โฟกัสกลับมาที่ ChatGPT อย่างสุดแรง ขณะที่ฝั่ง Google Gemini 3 ก็ดันตัวเองขึ้นมาเป็นคู่แข่งที่จริงจังที่สุดในรอบหลายปีของวงการ AI
แต่สำหรับภาพรวมของโลกเทคโนโลยี นี่ไม่ใช่ “จุดจบของใคร” หากเป็นเพียง “เสียงนกหวีดเปิดครึ่งหลัง” ของเกมยาว ที่เดิมพันคืออนาคตของการทำงาน การศึกษา สื่อสาร และเศรษฐกิจทั้งระบบ
ใครจะเป็นผู้นำในอีก 3–5 ปีข้างหน้า ยังไม่มีใครตอบได้แน่ชัด แต่สิ่งที่เห็นแล้วชัดเจนวันนี้คือ
- AI จะไม่หายไปไหน
- การแข่งขันจะยิ่งเดือด
- ผู้ชนะจริงๆ ในระยะสั้น คือ “ผู้ใช้งาน” ที่ได้เครื่องมือฉลาดขึ้นเรื่อยๆ ให้ใช้ทั้งในชีวิตประจำวันและการทำงาน
และถ้าอยากตามให้ทันทั้งข่าว AI, เทคโนโลยี, ธุรกิจ และโลกกีฬาแบบครบจบในที่เดียว อย่าลืม
ติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา

