4 ชาติหน้าใหม่พร้อมแจ้งเกิดบนเวที ฟุตบอลโลก 2026
ศึก ฟุตบอลโลก 2026 ที่จะจัดในรูปแบบใหม่ 48 ทีม ไม่ได้มีแค่ยักษ์ใหญ่ดีกรีแชมป์โลกเท่านั้นที่น่าจับตา แต่ยังเปิดประตูให้ “ชาติสายม้ามืด” จากทั่วโลกได้โผล่ขึ้นมาท้าทายเวทีลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ และในครั้งนี้มีถึง 4 ทีมที่ผ่านด่านหินจากรอบคัดเลือก จนคว้าตั๋วมาเล่นรอบสุดท้ายได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ได้แก่ ทีมชาติคาบูเวร์ดี, ทีมชาติคูราเซา, ทีมชาติจอร์แดน และ ทีมชาติอุซเบกิสถาน
บทความนี้ บ้านกีฬา จะพาไปเจาะลึกเส้นทางการคัดเลือก ตัวเลขสำคัญ และคีย์แมนของแต่ละชาติ ว่าพวกเขาก้าวขึ้นมาจากทีมโนเนมจนกลายเป็นแขกรับเชิญคนใหม่ของฟุตบอลโลกได้อย่างไร
ทีมชาติคาบูเวร์ดี – ฉลามสีน้ำเงินเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่
หัวหน้าโค้ช : บูบิสตา (Bubista)
วิธีผ่านรอบคัดเลือก : แชมป์กลุ่ม D (รอบคัดเลือกโซนแอฟริกา CAF)
ดาวซัลโวรอบคัดเลือก : ไดลอน ลิฟราเมนโต (4 ประตูจาก 8 นัด)
ผลงานดีที่สุดใน แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ : เข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ (2013, 2023)
คาบูเวร์ดี หรือ “ฉลามสีน้ำเงิน” กลายเป็นหนึ่งในเทพนิยายลูกหนังของโซนแอฟริกา พวกเขาผ่านรอบคัดเลือกด้วยผลงานสุดโหด ชนะ 7 เสมอ 2 แพ้เพียงแค่ 1 นัดตลอดเส้นทาง เป็นการจารึกหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลชาติบนเกาะเล็กๆ ให้ทั้งทวีปต้องหันมามอง
ความพ่ายแพ้นัดเดียวเกิดขึ้นต่อ แคเมอรูน เมื่อเดือนมิถุนายน 2024 แต่ทีมของบูบิสตาไม่ยอมจมอยู่กับความผิดหวัง เดือนกันยายน 2025 พวกเขาเอาคืนแบบเจ็บๆ ด้วยการเปิดบ้านเฉือนชนะ “หมอผี” แคเมอรูน 1-0 ที่กรุงไปรอา เกมนั้นกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผลักคาบูเวร์ดีให้ก้าวไปยืนใกล้ตั๋วบอลโลกเต็มตัว ก่อนจะมาปิดจ๊อบต่อหน้าแฟนบอลตัวเองอีกครั้ง ด้วยการถล่มเอสวาตินี 3-0 ในนัดสุดท้ายที่กดดันสุดขีด
หัวใจสำคัญของความสำเร็จอยู่ที่ฟอร์มเกมเหย้าที่ดุดันและแน่นเป๊ะ พวกเขาชนะ 4 เสมอ 1 ไม่เสียแม้แต่ประตูเดียวต่อหน้ากองเชียร์ตัวเอง และมี ไดลอน ลิฟราเมนโต กองหน้าจากสโมสร Casa Pia ที่ยืมตัวมาจาก เวโรนา เป็นตัวทีเด็ด ซัดไป 4 ประตู กลายเป็นดาวซัลโวร่วมของกลุ่มเคียงข้างแข้งดังอย่าง วินเซนต์ อาบูบาการ์ และ ไบรอัน เอ็มเบอโม่
คาบูเวร์ดีอาจไม่ใช่ทีมที่แฟนบอลทั่วโลกคุ้นชื่อมากนัก แต่ด้วยแท็กติกที่เหนียวแน่น เกมรับมีระเบียบ และการเล่นในบ้านที่แกร่งราวป้อมปราการ พวกเขาพร้อมกลายเป็นทีมที่ใครประมาทไม่ได้บนเวที ฟุตบอลโลก 2026
ทีมชาติคูราเซา – คลื่นลูกใหม่จากแคริบเบียน ภายใต้บังเหียน ดิค อัดโวคาต
หัวหน้าโค้ช : ดิค อัดโวคาต (Dick Advocaat)
วิธีผ่านรอบคัดเลือก : แชมป์กลุ่ม B รอบสาม (โซนคอนคาเคฟ Concacaf)
ดาวซัลโวรอบคัดเลือก : เกอร์วาเน คาสตาเนียร์ (5 ประตูจาก 6 นัด)
ผลงานดีที่สุดใน Concacaf Championship / Gold Cup : อันดับ 3 (1963, 1969 ในนามเนเธอร์แลนด์ แอนทิลลิส)
ทีมชาติคูราเซา สร้างจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ให้วงการลูกหนังแคริบเบียน ด้วยการคว้าตั๋วฟุตบอลโลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ พวกเขาคว้าแชมป์กลุ่ม B ในรอบสามคัดเลือกโซนคอนคาเคฟ และการันตีการไปเล่นรอบสุดท้ายด้วยผลเสมอแบบไร้สกอร์กับจาเมกา ที่คิงส์ตัน
ผลงานของคูราเซาโดดเด่นตั้งแต่รอบสอง พวกเขาเก็บชัยชนะในบ้านแบบขาดลอย 4-1 เหนือบาร์บาดอส และ 4-0 เหนือเซนต์ลูเซีย รวมถึงบุกชนะเพื่อนบ้านอย่างอารูบา 2-0 และบุกถล่มเฮติ 5-1 สร้างบรรยากาศความมั่นใจเต็มทีมก่อนเข้าสู่รอบสาม
ในรอบสาม แม้ระดับคู่แข่งจะแข็งขึ้น แต่คูราเซาก็แสดงให้เห็นถึงทั้งความแข็งแกร่งและความโหดในเกมรุก พวกเขาเปิดบ้านชนะจาเมกา 2-0 และระเบิดฟอร์มในเกมถล่มเบอร์มิวดา 7-0 จัดว่าเป็นหนึ่งในโชว์เกมรุกที่ดุดันที่สุดของโซนคอนคาเคฟช่วงคัดเลือก
เบื้องหลังความสำเร็จคือประสบการณ์ของ ดิค อัดโวคาต โค้ชชาวดัตช์รุ่นใหญ่ที่พาทีมยืดสถิติไร้พ่ายถึง 10 นัดติด รวมกับขุมกำลังที่มีสีสันอย่าง ทาฮิธ ชอง, เคนจิ กอร์เร และพี่น้องตระกูล บากูนา – เลอันโดร กับ จูนินโญ ทำให้คูราเซาเดินทางสู่ ฟุตบอลโลก 2026 ที่แคนาดา เม็กซิโก และสหรัฐอเมริกา ในฐานะ “หน้าใหม่ไฟแรง” ที่พร้อมสร้างเซอร์ไพรส์
ทีมชาติจอร์แดน – จากจุดเปราะบาง สู่การพลิกชะตาคว้าฝันไปฟุตบอลโลก
หัวหน้าโค้ช : จามาล เซลลามี (Jamal Sellami)
วิธีผ่านรอบคัดเลือก : รองแชมป์กลุ่ม B (รอบสามโซนเอเชีย AFC)
ดาวซัลโวรอบคัดเลือก : อาลี โอลวาน (9 ประตูจาก 13 นัด)
ผลงานดีที่สุดใน เอเชียนคัพ : รองแชมป์ (2023)
ทีมชาติจอร์แดน คือหนึ่งในเรื่องราวการ “ลุกขึ้นสู้” แห่งรอบคัดเลือกโซนเอเชีย พวกเขาเริ่มต้นเส้นทางในรอบสองได้ไม่ดีนัก เสมอในเกมเปิดหัวที่ทาจิกิสถาน ก่อนจะพลาดท่าคาบ้านแพ้ให้กับซาอุดีอาระเบีย 0-2 จนสถานการณ์เริ่มส่อแวววิกฤติ
แต่แทนที่จะปล่อยให้ความกดดันฉุดทีมแตก จอร์แดนกลับตอบสนองด้วยการคืนฟอร์มอย่างดุเดือด เก็บชัยชนะ 4 นัดรวด รวมถึงเกมถล่มปากีสถาน 7-0 และแมตช์ล้างตาซาอุฯ 2-1 ที่กลายเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของรอบคัดเลือก ผลงานดังกล่าวส่งให้พวกเขาขยับขึ้นไปรั้งจ่าฝูงกลุ่ม G เหนือซาอุดีอาระเบียด้วยประตูได้เสีย
จุดหักเหสำคัญอีกครั้งคือการมาของกุนซือชาวโมร็อกโก จามาล เซลลามี ก่อนเข้าสู่รอบสาม เขาเข้ามาจูนเกมรุกให้เฉียบคมยิ่งขึ้น โดยมีสามประสานแนวรุกอย่าง มูซา อัล ตามารี (7 ประตู 1 แอสซิสต์ จาก 13 เกม), ยาซาน อัล นาอิมัต (8 ประตู 4 แอสซิสต์ จาก 16 เกม) และ อาลี โอลวาน (9 ประตู 1 แอสซิสต์ จาก 13 เกม) เป็นตัวความหวัง
ในรอบสาม จอร์แดนเก็บได้ 4 ชัยชนะ, เสมอ 4 และแพ้เพียง 2 นัด จบอันดับรองแชมป์กลุ่ม B ตามหลังเกาหลีใต้ 6 แต้ม และเหนืออิรักเพียง 1 คะแนน เป็นการการันตีตั๋วไป ฟุตบอลโลก 2026 ครั้งแรกของชาติ พร้อมยืนยันว่า “แนชามา” ไม่ใช่แค่ทีมม้ามืดในเอเชียอีกต่อไป แต่พร้อมยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ชาติใหญ่บนเวทีโลก
ทีมชาติอุซเบกิสถาน – หมาป่าขาวที่สุกงอม พร้อมขย้ำบนเวทีโลก
หัวหน้าโค้ช : ฟาบิโอ คันนาวาโร (Fabio Cannavaro)
วิธีผ่านรอบคัดเลือก : รองแชมป์กลุ่ม A (รอบสามโซนเอเชีย AFC)
ดาวซัลโวรอบคัดเลือก : เอลดอร์ โชมูรอดอฟ (5 ประตูจาก 15 นัด)
ผลงานดีที่สุดใน เอเชียนคัพ : อันดับ 4 (2011)
ทีมชาติอุซเบกิสถาน เดินเส้นทางสายยาวในรอบคัดเลือกโซนเอเชีย เริ่มตั้งแต่รอบสอง ภายใต้การคุมทีมของ ติมูร์ คาปัดเซ ก่อนจะเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคของ ฟาบิโอ คันนาวาโร อดีตกองหลังแชมป์โลกชาวอิตาลี ที่เข้ามารับงานในเดือนตุลาคม 2025
ในรอบสอง อุซเบกิสถานจบรองแชมป์กลุ่ม E แต่มีแต้มเท่ากับ อิหร่าน แสดงให้เห็นว่าพวกเขายืนระยะสู้ “ยักษ์ใหญ่” ของเอเชียได้อย่างไม่เป็นรอง และยังวางรากฐานทีมได้แน่นก่อนขยับขึ้นสู่รอบสาม
ไฮไลต์สำคัญคือการดวลกับ ทีมชาตอิหร่าน ทั้งสองรอบรวม 4 นัด ซึ่งออกมาดุเดือดสูสีจนไม่มีฝ่ายใดชนะกันได้เลย เสมอกันทั้งหมด ยิ่งตอกย้ำว่า “หมาป่าขาว” ไม่ได้เป็นเพียงทีมกลางตารางของเอเชียอีกต่อไป แต่พร้อมเบียดกับหัวแถวอย่างสูสี
ในรอบสาม อุซเบกิสถานเก็บชัยชนะ 6 นัด เสมอ 3 แพ้เพียง 1 เกม ซึ่งเป็นความพ่ายแพ้ 3-2 ต่อกาตาร์ พวกเขาจบรองแชมป์กลุ่ม A ห่างอิหร่านเพียง 2 แต้ม แต่ทิ้งทีมเก๋าอย่างยูเออีและกาตาร์ไว้ข้างหลัง พร้อมผงาดคว้าตั๋วไปเล่น ฟุตบอลโลก 2026 อย่างเต็มภาคภูมิ โดยมี เอลดอร์ โชมูรอดอฟ เป็นตัวจบสกอร์สำคัญ เสริมด้วยแนวรับที่มีชื่อคุ้นหูอย่าง อับดุคอดีร์ คูซานอฟ จากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นตัวคุมแนวหลัง
ชาติบอลโลกหน้าใหม่กับเสน่ห์พิเศษที่แฟนบอลไม่ควรพลาด
สำหรับแฟนบอลไทย การได้เห็นทีมอย่าง ทีมชาติคาบูเวร์ดี, ทีมชาติคูราเซา, ทีมชาติจอร์แดน และ ทีมชาติอุซเบกิสถาน ปรากฏตัวบนเวที ฟุตบอลโลก 2026 คือโอกาสทองในการทำความรู้จัก “ความหลากหลายของฟุตบอลโลกยุคใหม่” รูปแบบ 48 ทีมไม่ได้มีดีแค่เพิ่มจำนวนแมตช์ให้ดูมากขึ้น แต่ยังเปิดพื้นที่ให้ชาติที่เคยถูกมองข้าม ได้แสดงตัวตน แสดงสไตล์การเล่น และส่งดาวรุ่งสายเลือดใหม่ออกมาสร้างชื่อในระดับโลก
ทีมเหล่านี้มักเต็มไปด้วยสตอรี่เบื้องหลังน่าสนใจ ตั้งแต่การฝ่าวิกฤติในรอบคัดเลือก งบประมาณทีมชาติที่จำกัด ไปจนถึงการดันแข้งลูกครึ่งหรือแข้งจากลีกยุโรปกลับมารับใช้บ้านเกิด ทุกอย่างช่วยเติมเสน่ห์ให้ฟุตบอลโลกเป็นมากกว่าทัวร์นาเมนต์ของ “ทีมใหญ่ไม่กี่ชาติ” แต่กลายเป็นเวทีของทั้งโลกอย่างแท้จริง
มุมมองจาก บ้านกีฬา
4 ชาติหน้าใหม่บนเวที ฟุตบอลโลก 2026 ต่างมีเส้นทางที่ไม่ง่าย แต่พวกเขาเลือกที่จะ “เดินหน้า” มากกว่าถอยหลัง ทั้ง ทีมชาติคาบูเวร์ดี ที่แกร่งสุดขีดในบ้าน, ทีมชาติคูราเซา ที่เล่นเป็นทีมได้อย่างมั่นใจภายใต้โค้ชมากประสบการณ์, ทีมชาติจอร์แดน ที่พลิกวิกฤติจากการเริ่มต้นสะดุด และ ทีมชาติอุซเบกิสถาน ที่ค่อยๆ สุกงอมจนพร้อมชนทุกชาติในเอเชียและระดับโลก
แม้โอกาสลุ้นแชมป์อาจยังเป็นเรื่องไกลตัว แต่ถ้าเป็นเรื่องการสร้างเซอร์ไพรส์ เขย่ากลุ่ม ตัดแต้มทีมใหญ่ หรือแจ้งเกิดสตาร์ประจำทัวร์นาเมนต์ แฟนบอลไม่ควรมองข้าม 4 ชาตินี้เด็ดขาด และถ้าอยากตามทุกความเคลื่อนไหวของพวกเขาตั้งแต่ก่อนบอลโลกเปิดสนาม ไปจนถึงเสียงนกหวีดสุดท้าย อย่าลืมติดตามอัปเดตข่าวบอลมันส์ๆ ได้ที่ ข่าวกีฬาฟุตบอลบ้านกีฬา เราพร้อมเสิร์ฟเรื่องราวจากทุกมุมโลกให้แฟนบอลไทยไม่พลาดทุกจังหวะสำคัญ

