
จาก : ผลบอลสด ยูฟ่ายูโรปาลีก ระหว่าง เรอัล เบติส 2-1 อูเทร็คท์ วันนี้ 28/11/68 – บ้านกีฬา
ศึกยูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีกค่ำคืนนี้เดือดสมกับสายรายงาน ผลบอลสด เมื่อสตราส์บูร์กเปิดบ้านพลิกนรกแซงชนะคริสตัล พาเลซ 2-1 จากประตูของ เอมานูเอล เอเมกกา และ ซาเมียร์ เอล มูราเบ็ต หลังโดนไทริค มิทเชลล์ยิงนำก่อน ทำให้เจ้าถิ่นทะยานขึ้นไปรั้งโซนหัวตาราง ส่วนพาเลซสะดุดแพ้เกมเยือนแบบเจ็บแสบ
เกมนี้เล่นกันที่ฝรั่งเศส สตราส์บูร์กจัดทัพชุดใหญ่รับมือทีมเยือนจากพรีเมียร์ลีกอย่างคริสตัล พาเลซ ทั้งสองทีมเปิดหน้าแลกตั้งแต่ต้น เกมเร็ว เข้าบอลดุดัน สมกับบอลยุโรปที่ไม่มีใครยอมใคร ก่อนที่ผลสุดท้ายฝั่งเจ้าถิ่นจะใช้ความคมและการยืนระยะในครึ่งหลังปิดเกมได้สำเร็จ
⏱️ ครึ่งแรก: พาเลซลงโทษเกมรับหลวม นำก่อน 1-0
ช่วงต้นครึ่งแรกสตราส์บูร์กครองบอลได้มากกว่า พยายามต่อบอลจากแดนหลังขึ้นมาด้วยจังหวะสั้น ๆ ผ่านเท้าของ เอล มูราเบ็ต และ ดูกูเร่ แต่จังหวะจบสกอร์ยังไม่เฉียบขาดพอ ขณะที่พาเลซแม้จะเป็นฝ่ายตั้งรับแต่ก็รอแทงสวนกลับจากความเร็วของ อิสไมลา ซาร์ และ เยเรมี ปิโน่
นาที 31 โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ ต้องเปลี่ยนเกมกลางสนามเร็ว ส่ง อดัม วอร์ตัน ลงมาแทน วิลล์ ฮิวจ์ส เพื่อเพิ่มไดนามิกในจังหวะเก็บบอล ก่อนที่นาที 35 จะเป็นจังหวะที่แฟนเจ้าบ้านถึงกับเงียบกริบ เมื่อจังหวะบุกของพาเลซทางฝั่งซ้าย บอลถูกไหลต่อให้ ไทริค มิทเชลล์ เติมขึ้นมายิงเสียบเสา กลายเป็นประตูขึ้นนำ 1-0 ให้ทีมเยือน ทั้งที่รูปเกมไม่ได้เหนือกว่า แต่ความเฉียบคมเล่นงานเจ้าถิ่นเต็ม ๆ
ท้ายครึ่งแรก สตราส์บูร์กต้องแก้หมากทันที เปลี่ยนเอา เบน ชิลเวลล์ ลงมาแทน ฮ็อกส์เบิร์ก นาที 43 เพื่อเพิ่มคุณภาพลูกเปิดจากริมเส้น แต่ก็ยังเจาะประตูตีเสมอไม่ได้ จบ 45 นาทีแรก คริสตัล พาเลซ ออกนำ 1-0 ด้วยความเหนียวแน่นในเกมรับและการเข้าทำที่คมกว่า
🔁 ครึ่งหลัง: สตราส์บูร์กเปิดโหมดบุกเต็มสูบ แซง 2-1 สุดมัน
ครึ่งหลังรูปเกมเปลี่ยนทันที บ้านกีฬาเห็นชัดว่าสตราส์บูร์กยกระดับความดุดัน เพิ่มความเร็วในการเซ็ตบอลและกดเพรสสูงตั้งแต่แดนหน้า ทำให้แนวรับพาเลซเสียจังหวะบ่อยครั้ง แม้กลาสเนอร์จะแก้เกมด้วยการส่ง คริส ริชาร์ดส์ ลงมายืนเซ็นเตอร์แทน กูเอฮี ตั้งแต่นาที 46 แต่ก็ยังต้านแรงบุกเจ้าถิ่นไม่อยู่
นาที 53 เสียงเฮสนามแทบแตก เมื่อ ดีเอโก้ โมเรย์รา ลากบอลจากฝั่งซ้ายลุยเข้าไปในกรอบเขตโทษก่อนหักเข้ากลางให้ เอมานูเอล เอเมกกา ซัดจ่อ ๆ ผ่านมือ ดีน เฮนเดอร์สัน ตีเสมอเป็น 1-1 และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเกม พาเลซที่ตั้งใจมารับและสวนกลับเริ่มถอยลึกจนเกินไป
พาเลซพยายามตอบโต้ด้วยการส่ง เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ ลงมายืนหน้าเป้าแทน ฌอง ฟิลิปป์ มาเตต้า นาที 62 แต่บอลสวนกลับยังไม่เฉียบขาด แถมแนวรับยังต้องรับมือความคล่องตัวของตัวรุกเจ้าบ้านต่อเนื่อง นาที 73 สตราส์บูร์กเร่งเกมจน เอล มูราเบ็ต โดนใบเหลืองจากจังหวะตัดเกม แต่เจ้าตัวยังเล่นอย่างมั่นใจ
นาที 74 เจ้าถิ่นเปลี่ยนสองรวด ส่ง เคนดรี ปาเอซ กับ ฆัวคิน ปานิเชลลี่ ลงมาสร้างความสดในแดนหน้า และผลของการเปลี่ยนตัวก็มาไว นาที 77 จังหวะบุกต่อเนื่อง เอล มูราเบ็ต สอดขึ้นมาหน้ากรอบเขตโทษก่อนกดเต็มข้อ บอลพุ่งเสียบตาข่ายเป็นประตู 2-1 ให้สตราส์บูร์ก พลิกแซงท่ามกลางเสียงเฮสุดเดือด
ท้ายเกม พาเลซส่ง ไดอิจิ คามาดะ ลงเสริมมิติการจ่ายบอล และเดินเกมบุกยาวหวังตีเสมอ แต่จังหวะสุดท้ายยังขาด ๆ เกิน ๆ แถม เจเรมี คานโวต์ ยังโดนใบเหลืองช่วงท้าย นาที 86 จากจังหวะเสียฟาวล์ เสียทั้งโมเมนตัมและเวลา จบเกมสตราส์บูร์กปิดบ้านชนะแบบมันส์หยด 2-1 เก็บสามแต้มสำคัญต่อหน้าแฟนบอลตัวเอง

🧾 รายชื่อนักเตะตัวจริง นักเตะโดดเด่น และการเปลี่ยนตัว
🔵 สตราส์บูร์ก (3-4-2-1)
ผู้เล่นตัวจริงพร้อมคะแนน (Sofascore)
- ผู้รักษาประตู: 39 มิกาเอล เพนเดอร์ส (7.0)
- กองหลัง: 24 ลูคัส ฮ็อกส์เบิร์ก (6.3), 22 กีโยม ดูเอ้ (6.5), 23 โมฮาเหม็ด ซาร์ (6.7)
- กองกลาง: 6 อิบราฮิมา ดูกูเร่ (6.9), 29 ซาเมียร์ เอล มูราเบ็ต (7.8), 32 วาเลนติน บาร์โก้ (7.4), 11 ซิโมน นานาซี (6.7)
- ตัวรุก: 19 ฮูลิโอ เอ็นซิโซ (6.3), 7 ดีเอโก้ โมเรย์รา (7.9)
- กองหน้า: 10 (กัปตัน) เอมานูเอล เอเมกกา (6.6)
ตัวสำรองที่ถูกใช้งาน
- 3 เบน ชิลเวลล์ (6.8) ลงนาที 43 แทน ฮ็อกส์เบิร์ก
- 16 เคนดรี ปาเอซ (6.8) ลงนาที 74 แทน นานาซี
- 9 ฆัวคิน ปานิเชลลี่ (6.2) ลงนาที 74 แทน เอเมกกา
- 2 แอนดรูว์ โอมอบามิเดเล ลงนาที 89 แทน เอ็นซิโซ
ตัวสำรองที่ไม่ได้ลงสนาม
กาเบรียล เคร์กแคร์ต, สเตฟาน บายิช, มาธิส อามูกู, ราฟาเอล ลุยส์, แรบบี เอ็นซิงกูลา, เฟลิกซ์ เลอมาร์ชาล, ซามูเอล อาโม่-อาเมียว
นักเตะโดดเด่นของเจ้าถิ่นชัดเจนคือ ดีเอโก้ โมเรย์รา (7.9) ที่ลากเลื้อยทางกราบซ้ายจนแนวรับพาเลซหัวหมุน และ ซาเมียร์ เอล มูราเบ็ต (7.8) มิดฟิลด์เชิงสูงที่ยิงประตูชัย พร้อมคุมจังหวะเกมรุกได้อย่างเด็ดขาด รวมถึง วาเลนติน บาร์โก้ (7.4) ที่สร้างอันตรายจากการเติมเกมและการครอสบอลหลายครั้ง
🦅 คริสตัล พาเลซ (3-4-3)
ผู้เล่นตัวจริงพร้อมคะแนน (Sofascore)
- ผู้รักษาประตู: 1 ดีน เฮนเดอร์สัน (6.5)
- กองหลัง: 5 มักซ็องส์ ลาครัวซ์ (6.3), 6 (กัปตัน) มาร์ก เกฮี (6.9), 3 ไทริค มิทเชลล์ (7.8)
- วิงแบ็ก/มิดฟิลด์: 2 ดาเนียล มูนโยซ (7.0), 23 เจเรมี คานโวต์ (5.9), 19 วิลล์ ฮิวจ์ส (6.7), 8 เจฟเฟอร์สัน เลอร์ม่า (6.9)
- ตัวรุก: 7 อิสไมลา ซาร์ (7.1), 10 เยเรมี ปิโน่ (6.4), 14 ฌอง ฟิลิปป์ มาเตต้า (6.7)
ตัวสำรองที่ถูกใช้งาน
- 20 อดัม วอร์ตัน (6.6) ลงนาที 31 แทน ฮิวจ์ส
- 26 คริส ริชาร์ดส์ (6.5) ลงนาที 46 แทน เกฮี
- 9 เอ็ดเวิร์ด เอ็นเคเทียห์ (6.5) ลงนาที 62 แทน มาเตต้า
- 18 ไดอิจิ คามาดะ (6.6) ลงนาที 82 แทน เลอร์ม่า
ตัวสำรองที่ไม่ได้ลงสนาม
เรมี่ แม็ทธิวส์, วอลเตอร์ เบนิเตซ, นาธาเนียล ไคลน์, ริโอ การ์ดีเนส, โรแม็ง เอสเซ, จัสติน เดเวนนี่, คริสแทนตัส อูเช่
ฝั่งพาเลซ นักเตะที่โดดเด่นที่สุดคือ ไทริค มิทเชลล์ (7.8) ทั้งยิงประตูเปิดหัวและช่วยเกมรับด้านซ้ายอย่างหนัก ตามมาด้วย อิสไมลา ซาร์ (7.1) ที่สร้างความเร็วในเกมสวนกลับ และ ดาเนียล มูนโยซ (7.0) ที่คอยเติมเกมรุกทางขวา
📊 วิเคราะห์บอลการรุกและการรับ
สตราส์บูร์กของ เลียม โรเซนิเยอร์ ยืนระบบ 3-4-2-1 เน้นเซ็ตบอลจากแนวรับขึ้นมาทีละจังหวะ ใช้ ดูกูเร่ และ เอล มูราเบ็ต เป็นฮับเชื่อมระหว่างหลังกับหน้า เมื่อบอลถึงแดนสาม โมเรย์รา กับ นานาซี จะหุบเข้ากลางสร้างโอเวอร์โหลด ทำให้ เอเมกกา มีพื้นที่วิ่งตัดหลังแนวรับ เกมรุกของเจ้าถิ่นอาศัยการเคลื่อนที่สลับตำแหน่งตลอดเวลา ทำให้เซ็นเตอร์ของพาเลซตามตัวลำบาก โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังที่เพิ่มความกดดันสูง การเปลี่ยนจังหวะจากช้าเป็นเร็วทำได้ยอดเยี่ยมตามสไตล์ทีมที่กล้าเล่น กล้าบุก
ด้านเกมรับ สตราส์บูร์กใช้การดันไลน์ขึ้นสูงแต่คุมระยะห่างระหว่างแนวรับกับกลางได้ดี พอเสียบอลก็เพรสซ้อนสอง-สามชั้น ไม่ปล่อยให้ ซาร์ หรือ ปิโน่ ได้ลากบอลสวนกลับแบบสบาย ๆ จุดเด่นคือการอ่านจังหวะบีบพื้นที่ริมเส้น ทำให้พาเลซต้องโยนบอลลึกเข้ากรอบเขตโทษมากกว่าจะได้เล่นบอลบนพื้นจังหวะถนัด
ฝั่งคริสตัล พาเลซ ของกลาสเนอร์ยืนระบบ 3-4-3 ตั้งใจเล่นเกมรับเป็นหลัก วาง เกฮี – ลาครัวซ์ – มิทเชลล์ เป็นกำแพงสามชั้น หน้าเขตโทษ แล้วใช้คู่วิงแบ็ก มูนโยซ – คานโวต์ คอยปิดพื้นที่ด้านข้าง แผนการเล่นชัดเจนคือให้ เลอร์ม่า เก็บบอลจังหวะสองและวางยาวออกปีกให้ ซาร์ กับ ปิโน่ ลากตัดเข้าใน จากนั้นให้ มาเตต้า โฉบเข้าพื้นที่ว่าง เกมรุกลักษณะนี้ทำได้ดีในครึ่งแรกและได้ประตูจากจังหวะเติมของมิทเชลล์
อย่างไรก็ดีจุดอ่อนใหญ่ของพาเลซคือเมื่อโดนสตราส์บูร์กเพรสหนักในครึ่งหลัง พวกเขาไม่สามารถครองบอลแก้เพรสได้ บอลไปไม่ถึงตัวรุก หลายครั้งเซ็นเตอร์จำเป็นต้องเตะทิ้ง ส่งผลให้เกมรุกขาดความต่อเนื่อง และเมื่อเสียประตู 1-1 แท็คติกสวนกลับเริ่มใช้ไม่ได้ เพราะแนวรับถอยลึกจนปล่อยให้มิดฟิลด์เจ้าถิ่นขึ้นมากดดันหน้ากรอบเขตโทษได้แบบไม่เกรงใจ นี่คือจุดต่างด้านแท็คติกที่ทำให้เจ้าบ้านคว้าชัยไปในท้ายที่สุดตามมุมมองของ บ้านกีฬา ในเชิง วิเคราะห์บอล

📈 สถิติการแข่งขัน: เจ้าถิ่นคุมบอล แต่พาเลซยิงเยอะ
ภาพรวมของตัวเลขในเกมนี้ สตราส์บูร์กครองบอลได้ถึง 59% ต่อ 41% ของคริสตัล พาเลซ แสดงให้เห็นว่าเจ้าบ้านพยายามคุมจังหวะเกมและต่อบอลบนพื้นอย่างมั่นใจ ส่งบอลทั้งหมด 522 ครั้ง ด้วยความแม่นยำสูงถึง 91% ขณะที่พาเลซส่งบอลเพียง 321 ครั้ง แม่นยำ 80% เท่านั้น
อย่างไรก็ตามจำนวนการยิงกลับเป็นฝ่ายพาเลซที่มากกว่าเล็กน้อย ยิงรวม 15 ครั้ง เข้ากรอบ 5 ครั้ง ส่วนสตราส์บูร์กยิง 12 ครั้ง เข้ากรอบ 7 ครั้ง ซึ่งชี้ชัดว่าทีมเจ้าถิ่นมีคุณภาพการจบสกอร์สูงกว่า แม้จะสร้างโอกาสไม่มากเท่าคู่แข่งก็ตาม เกมยังดุเดือดเรื่องการเข้าปะทะ พาเลซทำฟาวล์ถึง 11 ครั้ง ได้ใบเหลือง 2 ใบ ขณะที่สตราส์บูร์กทำฟาวล์เพียง 4 ครั้ง โดนใบเหลือง 1 ใบ ลูกเตะมุมพาเลซได้ 5 ครั้ง มากกว่าเจ้าบ้านที่ได้ 4 ครั้ง สะท้อนว่าเกมรุกทั้งสองฝั่งเปิดแลกกันตลอด 90 นาที
⏱️ เหตุการณ์สำคัญของเกม
- ⚽ นาที 31: คริสตัล พาเลซเปลี่ยนตัวคนแรก ส่ง อดัม วอร์ตัน ลงมาแทน วิลล์ ฮิวจ์ส เพื่อเพิ่มพลังแดนกลาง
- ⚽ นาที 35: ประตู 0-1 พาเลซขึ้นนำ ไทริค มิทเชลล์ เติมขึ้นมายิงในเขตโทษจากจังหวะทำชิ่งกับเพื่อนร่วมทีม บอลพุ่งเสียบเสาอย่างเด็ดขาด
- 🔁 นาที 43: สตราส์บูร์กแก้เกม ส่ง เบน ชิลเวลล์ ลงสนามแทน ลูคัส ฮ็อกส์เบิร์ก
- 🔁 นาที 46: พาเลซส่ง คริส ริชาร์ดส์ ลงแทน มาร์ก เกฮี ที่มีอาการเจ็บเล็กน้อย
- ⚽ นาที 53: ประตู 1-1 สตราส์บูร์กตีเสมอ ดีเอโก้ โมเรย์ราลากแหวกทางซ้ายก่อนหักเข้ากลางให้ เอมานูเอล เอเมกกา แปเน้น ๆ ไม่เหลือ
- 🔁 นาที 62: พาเลซขยับอีกครั้ง ส่ง เอ็ดเวิร์ด เอ็นเคเทียห์ ลงแทน ฌอง ฟิลิปป์ มาเตต้า
- 🟨 นาที 67: มักซ็องส์ ลาครัวซ์ โดนใบเหลืองจากการตัดฟาวล์หยุดเกมรุกสตราส์บูร์ก
- 🟨 นาที 73: ซาเมียร์ เอล มูราเบ็ต รับใบเหลืองหลังเข้าสกัดช้าใส่ผู้เล่นพาเลซ
- 🔁 นาที 74: สตราส์บูร์กเปลี่ยนสองคนรวด เคนดรี ปาเอซ ลงแทน ซิโมน นานาซี และ ฆัวคิน ปานิเชลลี่ ลงแทน เอมานูเอล เอเมกกา
- ⚽ นาที 77: ประตู 2-1 เจ้าบ้านแซงนำ เอล มูราเบ็ต เก็บบอลหน้ากรอบเขตโทษก่อนซัดเต็มข้อ บอลพุ่งเฉือนเสาเข้าไปอย่างสวยงาม
- 🔁 นาที 82: พาเลซหวังพลิกเกม ส่ง ไดอิจิ คามาดะ ลงมาแทน เจฟเฟอร์สัน เลอร์ม่า เพื่อเพิ่มมิติการจ่ายบอล
- 🟨 นาที 86: เจเรมี คานโวต์ โดนใบเหลืองจากการฟาวล์หนักใส่ตัวรุกสตราส์บูร์กริมเส้น
- 🔁 นาที 89: สตราส์บูร์กส่ง แอนดรูว์ โอมอบามิเดเล ลงย้ำเกมรับแทน ฮูลิโอ เอ็นซิโซ เพื่อรักษาสกอร์จนจบเกม
🌟 Player of the Match: ดีเอโก้ โมเรย์รา แนวรุกซ้ายสุดโหดของสตราส์บูร์ก
รางวัล Man of the Match ตกเป็นของ ดีเอโก้ โมเรย์รา ปีกซ้ายของสตราส์บูร์กที่ได้คะแนนสูงถึง 7.9 จาก Sofascore ตลอด 90 นาทีเขาคือฝันร้ายของแนวรับพาเลซ ลากบอลหนึ่งต่อหนึ่งชนะคู่แข่งหลายครั้ง สร้างโอกาสยิงให้เพื่อนร่วมทีมอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นคนแอสซิสต์ให้ เอเมกกา ยิงประตูตีเสมอ 1-1 จุดประกายการคัมแบ็กของเจ้าถิ่น นอกจากเกมรุกแล้ว โมเรย์รายังช่วยเพรสซิ่งและไล่บอลลงมาถึงแนวรับ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นแบบเต็มถัง สมศักดิ์ศรีแข้งยอดเยี่ยมประจำเกมอย่างแท้จริง

📌 สถานการณ์ในตารางคะแนนยูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก
หลังจบเกมนี้ สตราส์บูร์กขยับขึ้นไปยึดอันดับ 2 ของตารางคะแนนยูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีก แข่ง 4 นัด ชนะ 3 เสมอ 1 ยังไม่แพ้ใคร ยิงได้ 7 เสีย 4 มี 10 คะแนน เท่ากับจ่าฝูง ซัมซุนสปอร์ แต่ลูกได้เสียเป็นรองเล็กน้อย ทำให้โอกาสลุ้นแซงขึ้นไปนำหัวตารางยังเปิดกว้างแบบสุด ๆ หากรักษาฟอร์มร้อนแรงแบบนี้ต่อไป
ส่วนคริสตัล พาเลซ หลังพลาดท่าในเกมนี้ หล่นลงไปอยู่แถวล่างของตารางที่อันดับ 18 จาก 36 ทีม แข่ง 4 นัด ชนะ 2 แพ้ 2 ยิงได้ 6 เสีย 4 ประตูได้เสียยังเป็นบวกที่ +2 แต่คะแนนหยุดอยู่ที่ 6 แต้ม ทำให้ต้องเร่งคืนฟอร์มโดยด่วน หากไม่อยากให้เส้นทางในบอลยุโรปฤดูกาลนี้จบลงเร็วกว่าที่คาด
📅 ตารางบอลและโปรแกรมนัดถัดไปของทั้งสองทีม
เมื่อมองไปที่ ตารางบอล และ โปรแกรมบอล นัดต่อ ๆ ไป แฟนบอลจะเห็นว่าทั้งสองทีมยังมีภารกิจหนักในลีกของตัวเองรออยู่ สตราส์บูร์กต้องกลับไปโฟกัสในลีกเอิง โดยมีคิวเปิดบ้านรับการมาเยือนของแบรสต์ วันที่ 30 พฤศจิกายน เวลา 21.00 น. ก่อนจะบุกไปเยือนตูลูสในวันที่ 7 ธันวาคม เวลา 01.00 น. ซึ่งสองเกมนี้สำคัญต่อการลุ้นพื้นที่หัวตารางลีกเช่นกัน
ด้านคริสตัล พาเลซต้องรีบตั้งหลักกลับสู่พรีเมียร์ลีกทันที เริ่มจากเกมใหญ่เปิดบ้านรับมือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด วันที่ 30 พฤศจิกายน เวลา 19.00 น. จากนั้นมีคิวยกพลบุกถิ่นเบิร์นลีย์ วันที่ 4 ธันวาคม เวลา 02.30 น. ถ้ากลาสเนอร์จัดการปรับแท็คติกและเรียกความมั่นใจคืนมาได้ ผลงานในลีกอาจช่วยดันโมเมนตัมกลับไปสู่เวทียุโรปอีกครั้ง
📺 ติดตาม บ้านผลบอล และความมันส์ลูกหนังได้ที่ บ้านกีฬา
คอบอลที่อยากเช็กสกอร์แบบเรียลไทม์ ไม่พลาดทุกจังหวะสำคัญของเกมแบบนี้ ตามติด บ้านผลบอล และรายงาน ผลบอลสด ได้ตลอดทั้งคืนกับ บ้านกีฬา เราจะเก็บทุกช็อตเดือด ทุกสถิติสำคัญ และทุกมุมมองเชิงลึกมาสรุปให้แฟนบอลได้อ่านแบบจุใจเหมือนนั่งดูอยู่ข้างสนาม

