เมื่อ น้ำท่วมหาดใหญ่ กลับมาหนักที่สุดในรอบ 25 ปี เมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจของภาคใต้ต้องเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ที่กระหน่ำพร้อมกันทั้ง ฝน, น้ำป่า, ทะเลหนุน และ การบริหารจัดการที่ยังไม่ตอบโจทย์ บ้านกีฬา พาเจาะลึกสถานการณ์แบบครบทุกมิติ พร้อมคีย์ข่าวที่เกี่ยวข้องเพื่อทำความเข้าใจเส้นทางน้ำท่วมครั้งนี้ให้ชัดที่สุด
ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อม จากชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ออกมาวิเคราะห์แบบตรงไปตรงมาว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่ “น้ำท่วมปกติ” แต่คือ “น้ำท่วมประวัติศาสตร์” ที่เกิดจาก 3 ปัจจัยใหญ่ ซึ่งทำให้ 16 อำเภอในสงขลา จมบาดาล บ้านเรือนกว่า 560,000 ครัวเรือน ได้รับผลกระทบ และกำลังประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจรวมทะลุ 500 ล้านบาท

❗ 3 สาเหตุหลัก ทำไมหาดใหญ่ถึงกลายเป็นบ่อพักน้ำขนาดยักษ์
1) พื้นที่ต่ำ–รับน้ำจากทุกทิศ เกิดเป็น “แอ่งอ่างขนาดใหญ่”
เมืองหาดใหญ่เป็นที่ราบลุ่มที่ลาดลงสู่ทะเลสาบสงขลา ทำให้ น้ำจากทุกทิศทางไหลมารวมที่นี่ก่อนระบายออก แต่ปัญหาใหญ่คือ การระบายทำได้ช้า เมื่อเจอกับภาวะน้ำทะเลหนุน
เส้นทางน้ำสำคัญประกอบด้วย
- คลองอู่ตะเภา ยาวกว่า 116 กม. รับน้ำจาก อ.สะเดา, เขาคอหงส์ และหลายพื้นที่
- คลองภูมินาถดำริ (คลอง ร.1) ใช้ผันน้ำเพื่อบรรเทาน้ำท่วม
น้ำจากเขาคอหงส์, นาหม่อม, จะนะ รวมถึงน้ำจากเทือกเขานครศรีธรรมราช ล้วนไหลลงที่เดียว คือ คลองอู่ตะเภา แล้วเข้าสู่ตัวเมืองหาดใหญ่ ก่อนระบายสู่ทะเลสาบสงขลา ซึ่งเมื่อเจอ “ฝนถล่ม + ทะเลหนุน” เมืองจึงเหมือนอ่างล้นทะลักในชั่วข้ามคืน

2) อากาศแปรปรวน–ฝนหนักที่สุดในประวัติศาสตร์
ปีนี้ไทยอยู่ในภาวะ ลานิญญา ซึ่งเพิ่มความชื้นในอากาศอย่างผิดปกติ ผนวกกับ มวลอากาศเย็นจากจีน ที่ดันร่องมรสุมลงใต้ ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักแบบไม่เคยเกิดมาก่อน
- ปริมาณฝน 3 วัน (19–22 พ.ย.) สูงถึง 595 มิลลิเมตร
มากกว่าปี 2543 และ 2553 ซึ่งเคยเป็นสถิติสูงสุดที่ 515 มิลลิเมตร - เฉพาะ เขาคอหงส์ วันที่ 22 พ.ย. ฝนตก 365 มิลลิเมตรในวันเดียว
ทำให้น้ำทะลักลงคลองอู่ตะเภาแบบไม่ทันตั้งตัว
“ฝนที่ตกครั้งนี้มากเกินความสามารถของระบบระบายน้ำทุกสาย” – ดร.สนธิ กล่าว
3) การบริหารน้ำวิกฤต–เตือนล่วงหน้าได้ แต่รับมือไม่ทัน
แม้จะมีการแจ้งเตือนผ่าน Cell Broadcast แต่การเตรียมงานรับมือน้ำท่วมยังทำได้ไม่เต็มที่ ทำให้หลายพื้นที่กลายเป็น “ชุมชนที่ถูกตัดขาด”
- ประชาชนจำนวนมากต้องหลบขึ้นหลังคา
- น้ำท่วมหนักทุกภาคของไทย ไม่ใช่เฉพาะภาคใต้
- หน่วยงานช่วยเหลือเข้าถึงช้า ประชาชนหลายพื้นที่ยังไม่ได้รับอาหาร–น้ำดื่ม
ดร.สนธิสรุปชัดว่า การจัดการภัยพิบัติยังต่ำกว่ามาตรฐาน และต้องเร่งยกระดับทันที

🚨 ภาพจริงจากพื้นที่: คนนับพันต้องเดินลุยน้ำออกมาหาอาหารเอง
สถานการณ์ในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่เมื่อวันที่ 23 พ.ย. ยังอยู่ในภาวะวิกฤต ชาวบ้านจำนวนมากต้อง “เดินฝ่าน้ำแรง” ออกมาหาอาหาร น้ำดื่ม และแม้แต่การไปกดเงินจากตู้ ATM
พื้นที่ที่น่าเป็นห่วง
- ถนนราษฎร์อุทิศ (เขต 8)
- สะพานสัจจกุล
- สี่แยกไปรษณีย์หาดใหญ่
- ถนนเพชรเกษม
- ถนนธรรมวิถี
- ถนนศรีภูวนาถ
กระแสน้ำเชี่ยวมากจน ผู้สูงอายุเดินแทบไม่ไหว เสี่ยงพลัดตกน้ำ เจ้าหน้าที่ถูกเรียกร้องให้ประจำจุดเร่งด่วนเพื่อช่วยประชาชน
บางพื้นที่ ไฟฟ้า–ประปาถูกตัด, เครือข่ายโทรศัพท์ล่ม ทำให้การขอความช่วยเหลือเป็นไปอย่างยากลำบาก หลายคนไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อวาน

🛠 เทศบาลยืนยันช่วย 24 ชั่วโมง แต่ติดปัญหาระดับน้ำสูง
เทศบาลนครหาดใหญ่ระบุว่า
- ได้จัดเจ้าหน้าที่ลงส่งอาหาร–น้ำดื่มตลอด 24 ชม.
- ประสานน้ำประปาให้ครอบคลุมที่สุด
- ส่งชุดปฏิบัติการเข้าถึงชุมชนที่ถูกตัดขาด
แต่ปัญหาใหญ่ยังคงเดิม
ระดับน้ำสูง + กระแสน้ำแรง → หน่วยช่วยเหลือเข้าพื้นที่ไม่ได้
📸 ภาพความเสียหาย: ร้านค้า–บ้านเรือน เสียหายยับเยิน
น้ำป่าจากเขาคอหงส์ไหลทะลักลงอ่างแก้มลิงคลองเรียนก่อนล้นสปริงเวย์ สร้างความเสียหายหนักในบ้านทุ่งรีและหลายชุมชน
ตัวอย่างเหตุการณ์
- ร้านอาหารตามสั่งถูกน้ำพัดโต๊ะ–อุปกรณ์ลอยไปทั้งร้าน
- ร้านเฟอร์นิเจอร์เสียหาย กระจกหน้าร้านแตก น้ำซัดเฟอร์นิเจอร์หายไปจำนวนมาก
- ถนนหลายเส้นเข้าเมืองได้เพียงบางช่วง แต่ส่วนใหญ่ยังถูกปิด
เจ้าของร้านเฟอร์นิเจอร์เผยว่า
“ปีนี้ น้ำมาแรงกว่าทุกปี แรงกระแทกทำร้านพัง ข้าวของหลายหมื่นหายไปกับน้ำหมด”

🌧 ทำไม “น้ำท่วมหาดใหญ่” ถึงเกิดซ้ำซาก? (เนื้อหานี้อ่านได้ทุกปี)
ในเชิงวิชาการ หาดใหญ่เป็นหนึ่งในเมืองที่มีความเสี่ยงน้ำท่วมมากที่สุดในไทย เพราะ
- พื้นที่เป็นแอ่งกระทะ
- ป่าต้นน้ำลดลง
- เมืองขยายตัวเร็ว
- โครงสร้างพื้นฐานระบายน้ำถูกออกแบบสำหรับปริมาณฝนในอดีต ไม่ใช่ฝนยุคปัจจุบันที่แรงขึ้นจากภาวะโลกร้อน
ข้อมูลจากกรมอุตุฯ ยังยืนยันว่า
ไทยมีแนวโน้มเจอ ฝนหนักแบบสั้น–รุนแรง บ่อยขึ้นทุกปี ซึ่งเป็นสัญญาณผลกระทบจาก Climate Change ที่ชัดมากในภาคใต้
🧭 สรุป: น้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้เป็น “สัญญาณเตือน” ครั้งใหญ่
เหตุการณ์ครั้งนี้คือ บทเรียนราคาแพงของเมืองใหญ่ที่เติบโตเร็วกว่าโครงสร้างรองรับ
รัฐบาล–ท้องถิ่น–ประชาชน ต้องร่วมกันผลักดัน

- ระบบเตือนภัยเร็วขึ้น
- ผันน้ำชั้นที่สอง–สาม
- ฟื้นฟูป่าต้นน้ำ
- ยกระดับผังเมืองรองรับฝนยุคใหม่
นี่คือวิกฤตที่ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย หากไม่แก้ที่ต้นเหตุ
ขอขอบคุณรูปภาพจาก Sonthi Kotchawat
ติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา เพื่ออัปเดตสถานการณ์สำคัญทั่วไทยอย่างต่อเนื่อง

