ภาพรวมศึกคัดเลือกฟุตบอลโลก 2026
เส้นทางสู่ ฟุตบอลโลก 2026 เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2023 เมื่อชาติในโซนเอเชียลงเล่นรอบแรก และเป็น ลวิน โม เอาง จากเมียนมา ที่ซัดประตูแรกของทัวร์นาเมนต์ในเกมถล่มมาเก๊า 5-1 จุดไฟศึกชิงตั๋วสู่รอบสุดท้ายที่สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก และแคนาดา ซึ่งรับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพร่วม
ครั้งนี้เวทีลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกขยายจำนวนทีมเป็น 48 ชาติ ทำให้มีโควตาจากรอบคัดเลือกทั้งหมด 45 ทีม ไปสมทบกับเจ้าภาพทั้งสามประเทศ แต่จนถึงตอนนี้การแข่งขันในทุกทวีปยังคงเดือดระอุ หลายชาติการันตีตั๋วแล้ว หลายชาติยังต้องไปห้ำหั่นกันต่อในรอบ เพลย์ออฟ และศึกเพลย์ออฟข้ามทวีปในปี 2026
ญี่ปุ่นกลายเป็นชาติแรกที่การันตีตั๋วเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ตามมาด้วยยักษ์ใหญ่จากยุโรปและทวีปอื่น ๆ ที่ทยอยปิดจ๊อบกันไปแล้ว
ชาติที่ผ่านเข้ารอบแล้ว (39 จาก 45 ทีม)
โควตาที่การันตีเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2026 แล้ว แบ่งตามทวีปดังนี้
- โซนยุโรป (UEFA) – 12 จาก 16 ทีม
อังกฤษ, ฝรั่งเศส, โครเอเชีย, นอร์เวย์, โปรตุเกส, เยอรมนี, เนเธอร์แลนด์, สวิตเซอร์แลนด์, สกอตแลนด์, สเปน, ออสเตรีย, เบลเยียม - โซนคอนคาเคฟ (อเมริกาเหนือ กลาง และแคริบเบียน) – 3 จาก 3 ทีม
ปานามา, คูราเซา, เฮติ - โซนแอฟริกา (CAF) – 9 จาก 9 ทีม
แอลจีเรีย, เคปเวิร์ด, อียิปต์, กานา, ไอวอรีโคสต์, โมร็อกโก, เซเนกัล, แอฟริกาใต้, ตูนิเซีย - โซนเอเชีย (AFC) – 8 จาก 8 ทีม
ออสเตรเลีย, อิหร่าน, ญี่ปุ่น, จอร์แดน, อุซเบกิสถาน, กาตาร์, ซาอุดีอาระเบีย, เกาหลีใต้ - โซนอเมริกาใต้ (CONMEBOL) – 6 จาก 6 ทีม
อาร์เจนตินา, บราซิล, โคลอมเบีย, เอกวาดอร์, ปารากวัย, อุรุกวัย - โซนโอเชียเนีย (OFC) – 1 จาก 1 ทีม
นิวซีแลนด์ - เพลย์ออฟข้ามทวีป – เหลือ 2 ที่นั่ง สองชาติสุดท้ายยังรอตัดสินในมีนาคม 2026
โปรแกรมเพลย์ออฟข้ามทวีป (Interconfederation Playoffs)
ศึกเพลย์ออฟข้ามทวีปจะชี้ชะตาอีก 2 ทีมสุดท้ายในเดือนมีนาคม 2026 มี 6 ชาติเข้าร่วม จาก 5 สมาพันธ์ (ยกเว้นยุโรป) โดยโซนเจ้าภาพคอนคาเคฟได้โควตาเพิ่มเป็นสองทีม
ตัวแทนแต่ละทวีป
- แอฟริกา: ดีอาร์ คองโก
- เอเชีย: อิรัก
- คอนคาเคฟ: จาเมกา, ซูรินาม
- โอเชียเนีย: นิวแคลิโดเนีย
- อเมริกาใต้: โบลิเวีย
สองทีมที่มีอันดับฟีฟ่าดีที่สุดคือ ดีอาร์ คองโก และอิรัก ถูกจัดเป็นทีมวาง เข้ารอในรอบชิงทันที ส่วนอีกสี่ทีมต้องเล่นรอบรองฯ เพื่อชิงสิทธิ์ไปดวลทีมวาง
ประกบคู่ดังนี้
- นิวแคลิโดเนีย พบ จาเมกา – ผู้ชนะเข้าไปพบ ดีอาร์ คองโก
- โบลิเวีย พบ ซูรินาม – ผู้ชนะเข้าไปพบ อิรัก
ทุกแมตช์จะฟาดแข้งกันที่เมืองกวาดาลาฮารา และมอนเตร์เรย์ ประเทศเม็กซิโก เมืองละสองเกม บรรยากาศแน่นอนว่าดุเดือดราวนัดชิงบอลถ้วย
ต่อไป บ้านกีฬา พาแยกทีละโซน ว่าใครจบงานแล้ว ใครยังต้องลุ้นต่อในรอบชี้ชะตา
โซนยุโรป (UEFA): ดราม่าทุกกลุ่ม ลุ้นกันถึงนัดสุดท้าย
จำนวนโควตา: 12 ทีมเข้าตรง + 4 ทีมจากเพลย์ออฟสมาพันธ์
ชาติที่ผ่านเข้ารอบแล้ว: อังกฤษ, ฝรั่งเศส, โครเอเชีย, นอร์เวย์, โปรตุเกส, เยอรมนี, เนเธอร์แลนด์, สวิตเซอร์แลนด์, สกอตแลนด์, สเปน, ออสเตรีย, เบลเยียม
ยุโรปมีสมาคมสมาชิก 55 ชาติ แต่ใช้สิทธิ์ลงแข่ง 54 ชาติ เนื่องจากรัสเซียยังถูกแบนจากเหตุการณ์รุกรานยูเครน ระบบแข่งขันแบ่งเป็น 12 กลุ่ม กลุ่มละ 4 หรือ 5 ทีม เตะเหย้า–เยือนแบบพบกันหมด
- แชมป์กลุ่มทั้ง 12 ทีมได้ตั๋วอัตโนมัติ
- รองแชมป์กลุ่มทั้ง 12 ทีมต้องไปลุยเพลย์ออฟ ร่วมกับแชมป์กลุ่มจาก ยูฟ่า เนชันส์ลีก อีก 4 ทีมที่ไม่ติดท็อปทูของกลุ่มคัดบอลโลก
รอบคัดเลือกเริ่มตั้งแต่มีนาคม 2025 และปิดฉากด้วยโปรแกรมเหย้า–เยือนในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นเดือนสำคัญที่ทำให้เรารู้ว่าใครจองตั๋วไปแล้ว และใครต้องไปวัดดวงต่อ
สิ่งที่ตัดสินในเดือนพฤศจิกายน (โซนยุโรป)
เรารู้แล้วว่าใครคือ 12 ชาติที่คว้าตั๋วตรง และรู้ครบทั้ง 16 ทีมที่จะต้องไปเพลย์ออฟลุ้นอีก 4 โควตา
- กลุ่ม A – เยอรมนีต้องการแค่เสมอสโลวาเกียในนัดสุดท้ายก็จะการันตีแชมป์กลุ่ม แต่พวกเขาจัดหนักถล่ม 6-0 คว้าตั๋วอย่างสวยหรู สโลวาเกียจบรองแชมป์ไปลุยเพลย์ออฟ ส่วนไอร์แลนด์เหนือที่จบอันดับสาม แต่มีผลงานในเนชันส์ลีกดีพอ ก็ได้สิทธิ์ตามไปเพลย์ออฟในฐานะแชมป์กลุ่มเนชันส์ลีกที่อันดับในรอบคัดเลือกไม่ติดสองอันดับแรก
- กลุ่ม B – สวิตเซอร์แลนด์เสมอโคโซโว 1-1 พอเพียงต่อตั๋วบอลโลก โคโซโวจบรองแชมป์ไปเพลย์ออฟ ขณะที่สวีเดนแม้หลุดไปอยู่ที่สี่ แต่ได้ช่องเพลย์ออฟผ่านเส้นทางเนชันส์ลีกเช่นกัน
- กลุ่ม C – เกมเดือดเลือดพล่านระหว่างเดนมาร์กกับสกอตแลนด์มีทั้งใบแดงและลูกยิงจักรยานอากาศของสกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ก่อนที่คีแรน เทียร์นีย์ จะกดประตูชัยช่วงทดเวลา ส่งสกอตแลนด์กลับไปเล่นฟุตบอลโลกครั้งแรกในรอบเกือบ 30 ปี เดนมาร์กต้องไปลุ้นต่อในเพลย์ออฟ
- กลุ่ม D – ยูเครนเปิดเครื่องอัดไอซ์แลนด์ 2-0 คว้าตั๋วเพลย์ออฟ พวกเขาหวังไปเล่นฟุตบอลโลกเป็นครั้งที่สอง หลังเคยไปโลดแล่นในปี 2006 ส่วนฝรั่งเศสปิดจ็อบแชมป์กลุ่มตั้งแต่นัดก่อนแล้ว
- กลุ่ม E – สเปนเสมอตุรกี 2-2 พอเพียงต่อตั๋วอัตโนมัติ ตุรกีตามไปเล่นเพลย์ออฟในฐานะรองแชมป์
- กลุ่ม F – โปรตุเกสคว้าแชมป์กลุ่มตามคาด แต่ความมันอยู่ที่การแย่งที่สอง เมื่อไอร์แลนด์ตามจาก 1-2 แซงชนะฮังการี 3-2 จากแฮตทริกของทรอย แพร์ร็อตต์ ทำให้ไอร์แลนด์ได้ตั๋วเพลย์ออฟแบบสุดมัน
- กลุ่ม G – เนเธอร์แลนด์ถล่มลิทัวเนีย 4-0 ล็อกแชมป์กลุ่มเรียบร้อย ผลนี้ส่งให้โปแลนด์การันตีอันดับสอง ไม่ว่าผลนัดสุดท้ายกับมอลตาจะออกมาอย่างไร และได้สิทธิ์เพลย์ออฟแน่นอน
- กลุ่ม H – ออสเตรียการันตีตั๋วบอลโลกด้วยผลเสมอบอสเนียและเฮอร์เซโกวินา ซึ่งได้ประตูสำคัญจาก มิชาเอล เกรโกริตช์ นาที 77 บอสเนียต้องไปสู้ต่อในเพลย์ออฟ เช่นเดียวกับโรมาเนียที่จบอันดับสามแต่เข้ารอบเพลย์ออฟผ่านโควตาเนชันส์ลีก
- กลุ่ม I – นอร์เวย์สร้างประวัติศาสตร์กลับไปเล่นฟุตบอลโลกครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1998 เมื่อเออร์ลิง ฮาแลนด์ เหมาสองประตูในเวลาแค่สองนาที พาทีมถล่มอิตาลี 4-1 เมื่อ 16 พฤศจิกายน อิตาลีต้องไปชี้ชะตาในเพลย์ออฟอีกครั้ง หลังเคยอกหักมาแล้วสองสมัยติด
- กลุ่ม J – เบลเยียมคว้าแชมป์กลุ่ม ส่วนเวลส์ปาดหน้าเข้าที่สอง พร้อมได้อันดับวางที่ดีกว่าในเพลย์ออฟ และมีสิทธิ์เล่นรอบรองฯ ในบ้าน ขณะที่มาซิโดเนียเหนือก็ยังมีเส้นทางเพลย์ออฟของตัวเอง
- กลุ่ม K – อังกฤษโชว์ความโหด ชนะรวดทุกนัดไม่เสียประตูแม้แต่ลูกเดียว จบด้วยสถิติ 100% ส่วนแอลเบเนียจบอันดับสองและเข้าเพลย์ออฟ
- กลุ่ม L – โครเอเชียไม่พลาดตำแหน่งแชมป์กลุ่ม เช็กเกียตามมาเป็นอันดับสอง ได้ตั๋วเพลย์ออฟเช่นกัน
แฟนบอลที่อยากไล่ดูโปรแกรมและตารางคะแนนทั้งหมด สามารถเช็กได้จากหน้ารายการแข่งขันอย่างละเอียดของแต่ละสมาพันธ์
รูปแบบเพลย์ออฟโซนยุโรป
โควตาอีก 4 ที่ของยุโรปจะมาจากเพลย์ออฟในเดือนมีนาคม 2026 ไม่มีช่องทางผ่านเพลย์ออฟข้ามทวีป ทุกอย่างตัดสินกันในรั้วยุโรปเอง
16 ทีมที่เข้าร่วมประกอบด้วย
- รองแชมป์กลุ่มรอบคัดเลือก 12 ทีม
- แชมป์กลุ่มจากเนชันส์ลีก 4 ทีม ที่ไม่ติดท็อปทูในรอบคัดเลือก
การจับสลากจัดทีมตามแรงกิ้งฟีฟ่า แบ่งเป็น 4 โถ โดยทีมจากเนชันส์ลีกอยู่ในโถ 4 ทั้งหมด ก่อนจะถูกจับแบ่งเป็น 4 เส้นทาง (Route/Path) แต่ละเส้นทางมี 4 ทีม เตะแบบนัดเดียวรู้เรื่องในรอบรองฯ และรอบชิง ผู้ชนะของแต่ละเส้นทางคว้าตั๋วบอลโลกหนึ่งใบ
ทีมที่เข้าร่วมเพลย์ออฟ (พร้อมอันดับฟีฟ่า)
อิตาลี (9), เดนมาร์ก (20), ตุรกี (26), ยูเครน (27), โปแลนด์ (33), เวลส์ (34), เช็กเกีย (44), สโลวาเกีย (46), แอลเบเนีย (61), สาธารณรัฐไอร์แลนด์ (62), บอสเนียและเฮอร์เซโกวินา (75), โคโซโว (84), โรมาเนีย (47, ทีมเนชันส์ลีก), สวีเดน (40, ทีมเนชันส์ลีก), นอร์ทมาซิโดเนีย (65, ทีมเนชันส์ลีก), ไอร์แลนด์เหนือ (69, ทีมเนชันส์ลีก)
ผังประกบคู่รอบรองฯ
เส้นทาง A
- อิตาลี พบ ไอร์แลนด์เหนือ
- เวลส์ พบ บอสเนียและเฮอร์เซโกวินา
รอบชิง: ผู้ชนะคู่ 1 พบ ผู้ชนะคู่ 2
เส้นทาง B
3. ยูเครน พบ สวีเดน
4. โปแลนด์ พบ แอลเบเนีย
รอบชิง: ผู้ชนะคู่ 3 พบ ผู้ชนะคู่ 4
เส้นทาง C
5. ตุรกี พบ โรมาเนีย
6. สโลวาเกีย พบ โคโซโว
รอบชิง: ผู้ชนะคู่ 5 พบ ผู้ชนะคู่ 6
เส้นทาง D
7. เดนมาร์ก พบ นอร์ทมาซิโดเนีย
8. เช็กเกีย พบ สาธารณรัฐไอร์แลนด์
รอบชิง: ผู้ชนะคู่ 7 พบ ผู้ชนะคู่ 8
โซนคอนคาเคฟ (Concacaf): ทีมเล็กสร้างประวัติศาสตร์
จำนวนโควตา: 3 ทีมเข้าตรง + 2 ทีมไปเพลย์ออฟข้ามทวีป
ชาติที่ผ่านเข้ารอบ: ปานามา, คูราเซา, เฮติ
ปกติคอนคาเคฟจะมีโควตาอัตโนมัติ 6 ทีม แต่ครั้งนี้เจ้าภาพสามชาติคือ สหรัฐอเมริกา, เม็กซิโก และแคนาดา กินโควตาไปแล้ว 3 ที่ เหลือให้ชิงกัน 3 ที่ พร้อมสิทธิ์เพลย์ออฟข้ามทวีปอีก 2 ทีม
มี 32 ชาติเริ่มต้นล่าฝันในเส้นทางนี้
- รอบแรก – 4 ชาติอันดับต่ำสุดเตะเหย้า–เยือน สองทีมที่ชนะคือ แองกวิลลา และหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน ผ่านเข้าไปเล่นรอบ 2 หลังเอาชนะหมู่เกาะเติร์กและเคคอส กับหมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐฯ ด้วยการดวลจุดโทษ
- รอบสอง – 28 ชาติอันดับท็อปของโซน บวก 2 ทีมจากรอบแรก ถูกจับสลากแบ่งเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 5 ทีม เตะกันนัดเดียว (ไม่มีเหย้า–เยือน) แข่งขันสองช่วงคือ มิถุนายน 2024 และมิถุนายน 2025 แชมป์กลุ่มและรองแชมป์กลุ่มรวม 12 ทีมผ่านเข้ารอบ 3
ผู้ที่ผ่านเข้ารอบ: เบอร์มิวดา, คอสตาริกา, คูราเซา, เอลซัลวาดอร์, กัวเตมาลา, เฮติ, ฮอนดูรัส, จาเมกา, นิการากัว, ปานามา, ซูรินาม, ตรินิแดดและโตเบโก - รอบสาม – 12 ทีมสุดท้ายถูกแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม เริ่มเตะตั้งแต่กันยายนและจบในเดือนพฤศจิกายน แชมป์กลุ่มทั้งสามจะเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก ส่วนรองแชมป์ที่ผลงานดีที่สุดสองทีมจะได้สิทธิ์เพลย์ออฟข้ามทวีป
สิ่งที่ตัดสินในเดือนพฤศจิกายน (Concacaf)
- กลุ่ม A – ปานามาออกสตาร์ตวันสุดท้ายในฐานะรองจ่าฝูง ตามหลังซูรินามด้วยผลต่างประตู แต่พวกเขาบุกชนะเอลซัลวาดอร์ 2-0 ขณะเดียวกันซูรินามพลาดท่าแพ้กัวเตมาลา 3-1 ทำให้ปานามากลับมาคว้าแชมป์กลุ่มและตั๋วฟุตบอลโลก ซูรินามยังไม่ตกรอบ เพราะประตูตัวเองของกัวเตมาลาในช่วงทดเจ็บครึ่งหลังทำให้ประตูรวมและผลต่างประตูของซูรินามเทียบเท่าฮอนดูรัส (-3) แต่เมื่อนับเกณฑ์ต่อไปคือจำนวนประตูที่ทำได้ ซูรินามยิง 9 ลูก ส่วนฮอนดูรัสยิง 5 ลูก ซูรินามจึงได้ตั๋วเพลย์ออฟข้ามทวีป
- กลุ่ม B – คูราเซากลายเป็นชาติขนาดเล็กที่สุดที่ได้ไปเล่นฟุตบอลโลก พวกเขาบุกเสมอจาเมกา 0-0 รักษาระยะห่างหนึ่งแต้มบนตารางคะแนน แม้ไม่มีกุนซือ ดิค แอดโวคัต อยู่ข้างสนาม แต่ลูกทีมก็ทำภารกิจสำเร็จ จาเมกาเก็บได้ 11 แต้ม มากพอสำหรับการไปเพลย์ออฟข้ามทวีป
- กลุ่ม C – เฮติจบงานอย่างเฉียบคม ชนะนิการากัว 2-0 คว้าตั๋วบอลโลก ฮอนดูรัสที่นำจ่าฝูงก่อนเตะนัดสุดท้าย เสมอกับคอสตาริกา 0-0 ทำให้จบด้วย 9 แต้ม ผลต่างประตู +3 เท่าซูรินาม แต่ยิงได้น้อยกว่า 4 ลูก ทำให้ต้องตกรอบอย่างน่าเสียดาย
โซนแอฟริกา (CAF): ดีอาร์ คองโกคว้าตั๋วเพลย์ออฟ
จำนวนโควตา: 9 ทีมเข้าตรง + 1 ทีมเพลย์ออฟข้ามทวีป
ชาติที่ผ่านเข้ารอบ: แอลจีเรีย, เคปเวิร์ด, อียิปต์, กานา, ไอวอรีโคสต์, โมร็อกโก, เซเนกัล, แอฟริกาใต้, ตูนิเซีย
รอบคัดเลือกเริ่มจาก 54 ชาติในโถจับสลาก แต่เอริเทรียถอนตัวภายหลังเพราะกังวลเรื่องผู้เล่นหนีขอลี้ภัยทางการเมืองระหว่างเดินทางไปแข่ง
- รอบแรก – แบ่งเป็น 8 กลุ่ม กลุ่มละ 6 ทีม และอีก 1 กลุ่มมี 5 ทีม (หลังเอริเทรียถอนตัว) แชมป์กลุ่มทั้ง 9 ทีมได้ตั๋วบอลโลกทันที ส่วนรองแชมป์ที่ผลงานดีที่สุด 4 ทีมเข้าไปเล่นรอบสอง
การแข่งขันรอบแรกเริ่มในเดือนพฤศจิกายน 2023 และปิดฉากในเดือนตุลาคม 2025
- รอบสอง – 4 รองแชมป์ที่ดีที่สุดลงเล่นเพลย์ออฟแบบมินิทัวร์นาเมนต์ มีสองรอบรองฯ และหนึ่งนัดชิง ผู้ชนะได้สิทธิ์เพลย์ออฟข้ามทวีป ซึ่งกลายเป็น ดีอาร์ คองโก ที่ทำผลงานสุดแกร่ง
ผลเพลย์ออฟซีเอเอฟ
รองรองฯ วันที่ 13 พ.ย.
ไนจีเรีย 4-1 กาบอง
แคเมอรูน 0-1 ดีอาร์ คองโก
รอบชิง วันที่ 16 พ.ย.
ไนจีเรีย 1-1 ดีอาร์ คองโก (ดีอาร์ คองโก ชนะจุดโทษ 4-3) คว้าสิทธิ์ไปชนตัวแทนจากโซนอื่นในเพลย์ออฟข้ามทวีป
โซนเอเชีย (AFC): เส้นทางซับซ้อนแต่ได้ครบ 8 ทีมแล้ว
จำนวนโควตา: 8 ทีมเข้าตรง + 1 ทีมเพลย์ออฟข้ามทวีป
ชาติที่ผ่านเข้ารอบ: ออสเตรเลีย, อิหร่าน, ญี่ปุ่น, จอร์แดน, อุซเบกิสถาน, กาตาร์, ซาอุดีอาระเบีย, เกาหลีใต้
โซนเอเชียถือเป็นเส้นทางที่ซับซ้อนที่สุด มีทั้งการเตะสองรอบแบ่งกลุ่มและรอบเพลย์ออฟย่อยหลายชั้น กว่าจะคัดให้เหลือ 8 ทีมสุดท้าย
- รอบแรก – 20 ชาติอันดับโลกต่ำสุดเตะเหย้า–เยือนในเดือนตุลาคม 2023 ผู้ชนะคือ อัฟกานิสถาน, บังกลาเทศ, ไต้หวัน, ฮ่องกง, อินโดนีเซีย, เมียนมา, เนปาล, ปากีสถาน, สิงคโปร์ และเยเมน เข้าสู่รอบสอง
- รอบสอง – 10 ทีมจากรอบแรกบวกกับ 26 ชาติอันดับสูงกว่า รวมเป็น 36 ทีม แบ่งเป็น 9 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม เตะแบบเหย้า–เยือน เริ่มพฤศจิกายน 2023 จบมิถุนายน 2024 แชมป์กลุ่มและรองแชมป์กลุ่มรวม 18 ทีมผ่านสู่รอบสาม
ทีมที่ผ่าน: ออสเตรเลีย, บาห์เรน, จีน, อินโดนีเซีย, อิหร่าน, อิรัก, ญี่ปุ่น, จอร์แดน, คูเวต, คีร์กีซสถาน, เกาหลีเหนือ, โอมาน, ปาเลสไตน์, กาตาร์, ซาอุดีอาระเบีย, เกาหลีใต้, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, อุซเบกิสถาน - รอบสาม – 18 ทีมถูกจับสลากแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 6 ทีม เริ่มเตะตั้งแต่กันยายน 2024 แชมป์กลุ่มและรองแชมป์กลุ่มทั้งสามกลุ่ม รวม 6 ทีม ได้ตั๋วบอลโลกโดยอัตโนมัติ ญี่ปุ่นเป็นชาติแรกจากเอเชียที่การันตีตั๋ว ตามด้วย อิหร่าน, จอร์แดน, เกาหลีใต้, อุซเบกิสถาน และออสเตรเลีย
- รอบสี่ – 6 ทีมที่เหลือถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 3 ทีม เตะสนามกลางครั้งเดียวเจอกันหมดในเดือนตุลาคม ทีมแชมป์กลุ่มสองกลุ่มคว้าตั๋วบอลโลกทันที ได้แก่ กาตาร์ และซาอุดีอาระเบีย ส่วนรองแชมป์กลุ่มคือ ยูเออี และอิรัก เข้าไปรอรอบห้า
สิ่งที่ตัดสินในเดือนพฤศจิกายน (เอเชีย)
- รอบห้า – ยูเออีดวลกับอิรักแบบเหย้า–เยือน เพื่อลุ้นตั๋วเพลย์ออฟข้ามทวีป นัดแรกเสมอ 1-1 ก่อนที่นัดสองอิรักจะได้จุดโทษช่วงทดเจ็บครึ่งหลังนาทีที่ 17 ยิงเข้าไปเป็นประตูชัย ทำให้พวกเขาคว้าสิทธิ์ไปชนทีมจากโซนอื่นต่อในเพลย์ออฟ
โซนอเมริกาใต้ (CONMEBOL): บิ๊กทีมมากันครบ
จำนวนโควตา: 6 ทีมเข้าตรง + 1 ทีมเพลย์ออฟข้ามทวีป
ชาติที่ผ่านเข้ารอบ: อาร์เจนตินา, บราซิล, โคลอมเบีย, เอกวาดอร์, ปารากวัย, อุรุกวัย
รูปแบบคัดเลือกของอเมริกาใต้เหมือนเดิมทุกประการ มี 10 ชาติเตะเหย้า–เยือนพบกันหมดแบบลีกยาว ทีมอันดับ 1–6 ได้ตั๋วตรง ส่วนทีมอันดับ 7 ได้สิทธิ์เพลย์ออฟข้ามทวีป
รอบแรกเริ่มเตะตั้งแต่กันยายน 2023 และปิดลีกในเดือนกันยายน 2025 ผลสรุปออกมาว่า โบลิเวีย จบที่ 7 ได้ตั๋วไปเพลย์ออฟข้ามทวีป
โซนโอเชียเนีย (OFC): นิวซีแลนด์ยังยืนหนึ่งของภูมิภาค
จำนวนโควตา: 1 ทีมเข้าตรง + 1 ทีมเพลย์ออฟข้ามทวีป
ชาติที่ผ่านเข้ารอบ: นิวซีแลนด์
สมาชิกโซนโอเชียเนียลงแข่งครบทั้ง 11 ชาติ
- รอบแรก – 4 ชาติอันดับโลกต่ำสุดลงเตะแบบมินิทัวร์นาเมนต์ (รองรองฯ และรอบชิง) ที่ประเทศซามัว เดือนกันยายน 2024 ประกอบด้วย อเมริกันซามัว, หมู่เกาะคุก, ซามัว และตองกา สุดท้ายซามัวชนะตองกา 2-1 ในรอบชิง คว้าตั๋วสู่รอบสอง
- รอบสอง – ซามัวบวก 7 ชาติอันดับสูงกว่า ถูกจับเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม เกมแข่งในเดือนตุลาคม–พฤศจิกายน 2024 ใช้สนามในฟิจิ, นิวซีแลนด์, ปาปัวนิวกินี และวานูอาตู สองทีมบนของแต่ละกลุ่ม ได้แก่ นิวแคลิโดเนีย, ตาฮิติ, นิวซีแลนด์ และฟิจิ ผ่านเข้าสู่รอบสาม
- รอบสาม – 4 ทีมสุดท้ายเตะแบบนัดเดียวรู้ผล (รองรองฯ และรอบชิง) ที่นิวซีแลนด์ เดือนมีนาคม 2025
รองรองฯ 21 มี.ค.
นิวแคลิโดเนีย 3-0 ตาฮิติ
นิวซีแลนด์ 7-0 ฟิจิ รอบชิง 24 มี.ค.
นิวแคลิโดเนีย 0-3 นิวซีแลนด์
นิวซีแลนด์จบด้วยแชมป์โซน คว้าตั๋วฟุตบอลโลก ส่วน นิวแคลิโดเนีย ไปต่อในเพลย์ออฟข้ามทวีป
มองภาพใหญ่: ทำไมรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2026 ถึงสำคัญต่อแฟนบอลไทย
การขยายรอบสุดท้ายเป็น 48 ทีมทำให้ รอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2026 เข้มข้นยิ่งกว่าที่เคย ไม่ใช่แค่ชาติใหญ่ที่ต้องพิสูจน์ตัวเอง แต่ชาติขนาดเล็กอย่างคูราเซา หรือ นิวแคลิโดเนีย ก็มีโอกาสสร้างประวัติศาสตร์ของตัวเอง การติดตามเส้นทางของแต่ละโซนจึงไม่ได้เป็นแค่เรื่องของผลการแข่งขัน แต่คือ “เรื่องราว” ของฟุตบอลในทุกมุมโลก
สำหรับแฟนบอลไทย การรู้รูปแบบการคัดเลือก โควตาแต่ละทวีป และเส้นทางเพลย์ออฟ จะช่วยให้ดูบอลได้สนุกขึ้น เห็นค่าของประตูเดียวที่เปลี่ยนชะตาชาติทั้งชาติ เข้าใจว่าทำไมบางทีมต้องลุยเพิ่มอีกหลายแมตช์กว่าจะเข้ารอบสุดท้าย ยิ่งไปกว่านั้น หากวันหนึ่งทีมชาติไทยได้ลุยเส้นทางนี้อย่างจริงจัง แฟนบอลก็จะเข้าใจทั้งโครงสร้างและแรงกดดันในแต่ละแมตช์ได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น
สรุปเส้นทางสู่เวทีโลก และสิ่งที่ต้องจับตาต่อไป
ตอนนี้เราได้รายชื่อชาติที่ผ่านเข้ารอบไปแล้ว 39 ทีม เหลืออีก 6 โควตาในยุโรป และอีก 2 โควตาจากเพลย์ออฟข้ามทวีป ที่จะทำให้โผ 48 ชาติในฟุตบอลโลก 2026 สมบูรณ์แบบ ศึกเพลย์ออฟของยุโรปมีทั้งยักษ์ใหญ่ที่ยังต้องลุ้นอย่างอิตาลี เดนมาร์ก หรือโปแลนด์ รวมถึงทีมม้ามืดจากเนชันส์ลีก ส่วนเพลย์ออฟข้ามทวีปก็อัดแน่นด้วยทีมแกร่งจากทุกมุมโลกตั้งแต่ ดีอาร์ คองโก, อิรัก, จาเมกา ไปจนถึงโบลิเวีย
แฟนบอลทั่วโลกจึงต้องลุ้นกันยาวไปถึงเดือนมีนาคม 2026 ว่าใครจะคว้าตั๋วใบสุดท้ายขึ้นรถบัสไปอเมริกาเหนือ และใครต้องกลับบ้านพร้อมคำว่าพลาดหวัง
ติดตามทุกความเคลื่อนไหว ผลการแข่งขันสด และเรื่องราวเข้มข้นจากสังเวียนลูกหนังรอบโลกได้ที่ ข่าวกีฬาฟุตบอลบ้านกีฬา ศูนย์รวมข่าวบอลที่แฟนลูกหนังชาวไทยห้ามพลาด

