
จาก : ผลบอลสด ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ระหว่าง ลิเวอร์พูล 1-0 เรอัล มาดริด วันนี้ 5/11/68 – บ้านกีฬา
ค่ำคืนที่แอนฟิลด์กลายเป็นเวทีล้างแค้นของฝั่งแดงเมอร์ซีย์ไซด์ เมื่อ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านชน เรอัล มาดริด ในศึก ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มที่เต็มไปด้วยความดราม่า แฟนบอลที่จ้องหน้าเว็บเช็ก ผลบอลสด กันตลอดทั้งเกมได้เห็นภาพที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก – ราชันชุดขาวแทบไม่มีเขี้ยวเล็บในพื้นที่สุดท้าย และโดนหงส์แดงบดเอาชนะ 1-0 จากประตูโทนของ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ นาที 61
ลิเวอร์พูลของ อาร์เน่ สลอต มาในสไตล์เพรสซิ่งดุดัน วิ่งบดไม่หยุดแม้จะปล่อยให้มาดริดครองบอลเหนือกว่าเล็กน้อย แต่ทุกครั้งที่ได้โอกาสสวนกลับก็อันตราย ขณะที่ฝั่ง ชาบี อลอนโซ่ แม้วางแผนให้ทีมเน้นคอนโทรลเกม ผ่านบอลแม่นยำสูงถึง 91% ทว่าจังหวะเข้าทำสุดท้ายกลับจืดจางจนต้องกลับสเปนแบบมือเปล่า
🕐 ครึ่งแรก – หงส์เพรสโหด, ชุดขาวครองบอลแต่ไม่คม
เสียง “You’ll Never Walk Alone” ยังไม่ทันจาง เกมก็ระอุทันที ลิเวอร์พูลยืนระบบ 4-2-3-1 ดันไลน์สูง ไล่บี้ตั้งแต่หน้าประตู ติโบต์ กูร์กตัวส์ ต้องคอยใช้เท้าแก้เพรสตลอด ขณะที่สามแนวรุกอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ฟลอเรียน เวิร์ตซ์ และ ฮูโก้ เอคิติเก้ วิ่งไล่กดดันแบบไม่กลัวหมดแรง
เรอัล มาดริด จัด 4-1-4-1 ใช้ ออเรลียง ชูอาเมนี่ ยืนต่ำหน้าแผงหลัง คามาวินก้า กับ อาร์เซน กูเลอร์ คอยต่อบอลกับ จู๊ด เบลลิงแฮม และ คิลิยัน เอ็มบัปเป้ ที่ถูกจับไปยืน “หลอก 9” ตรงกลาง ส่วน วินิซิอุส จูเนียร์ เป็นตัวลากเลื้อยทางซ้าย แม้ราชันจะครองบอล 57% ส่งบอล 400 กว่าครั้งในครึ่งแรก แต่โอกาสยิงเน้นๆ แทบไม่มีเพราะโดนคู่เซ็นเตอร์ ฟาน ไดค์ – โกนาเต้ อ่านทางตัดบอลได้ตลอด
นาที 23 วินิซิอุสโดนใบเหลืองจากการเข้าบอลช้าใส่คู่แข่ง สะท้อนให้เห็นความหงุดหงิดที่เจาะเกมรับหงส์ไม่เข้า ต่อมานาที 32 เกิดจังหวะดราม่าเมื่อกรรมการเช็ก VAR เหตุการณ์ในเขตโทษลิเวอร์พูล ก่อนจะยืนยันว่า “ไม่เป็นจุดโทษ” ทำให้เสียงโห่ดังสนั่นจากแฟนมาดริด
ท้ายครึ่งแรก เดวิด ฮุยเซน เซ็นเตอร์ดาวรุ่งของมาดริดโดนใบเหลืองนาที 45+1 จากการเข้าสกัดช้า เกมเริ่มเดือด แต่สกอร์ยัง 0-0 เมื่อผู้ตัดสินเป่าจบครึ่งแรก
🔥 ครึ่งหลัง – แอนฟิลด์ระเบิด! แม็ค อัลลิสเตอร์ ยิงปลดล็อก ชุดขาวกลับบ้านมือเปล่า
ครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลเร่งเพรสซิ่งเพิ่มอีกระดับ กดชุดขาวถอยลึกกว่าเดิม การเคลื่อนที่ของ เวิร์ตซ์ และ ซิโบสลายสร้างปัญหาให้แดนกลางมาดริดอย่างหนัก
นาที 52 แม็ค อัลลิสเตอร์โดนใบเหลืองจากการฟาวล์กลางสนาม แต่แทนที่จะเสียความมั่นใจ เขากลับยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นตัวเปลี่ยนเกม นาที 60 จู๊ด เบลลิงแฮมโดนใบเหลืองบ้างจากจังหวะตัดเกมสวนกลับ บล็อกกลางของราชันเริ่มมีช่องว่าง
และแล้วประตูที่แฟนหงส์รอคอยก็มาในนาที 61 จากจังหวะต่อบอลเร็วฝั่งขวา ดามโบ ซิโบสลาย หลุดขึ้นมาก่อนหักเข้ากลางให้ แม็ค อัลลิสเตอร์ วิ่งเติมมายิงผ่านมือกูร์กตัวส์แบบไม่เหลือ แอนฟิลด์แทบถล่ม ลิเวอร์พูลนำ 1-0 ท่ามกลางเสียงเฮที่แฟนบอลทางบ้านเห็นผ่านหน้าเว็บ บ้านผลบอล พร้อมกัน
มาดริดพยายามตอบโต้ด้วยการส่ง โรดรีโก้ ลงแทน คามาวินก้า นาที 69 เพื่อเพิ่มความเร็วริมเส้น ขณะที่ลิเวอร์พูลถอด เอคิติเก้ และ แม็ค อัลลิสเตอร์ ออกในนาที 79 ส่ง โคดี้ กัคโป และ เคอร์ติส โจนส์ ลงมาเติมพลังวิ่งไล่ในแดนหน้าและแดนกลาง
นาที 81 ชาบี อลอนโซ่เสี่ยงสุดตัวส่ง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์–อาร์โนลด์ ลงมาแทน กูเลอร์ ปรับรูปโครงสร้างการบุก แต่แนวรับหงส์ยังยืนกันแน่น ขณะที่กูร์กตัวส์ยังต้องออกแรงเซฟลูกสวนกลับของซาลาห์อยู่หลายครั้ง
ช่วงท้ายเกม ลิเวอร์พูลถอด โรเบิร์ตสัน และ เวิร์ตซ์ ออกนาที 88 ส่ง มิโลช เคอร์เคซ กับ เฟเดริโก้ เคียซ่า ลงมาช่วยเก็บบอลด้านข้าง ก่อนที่ อเล็กซ์ การ์เรราส แบ็กซ้ายมาดริดจะโดนใบเหลืองในช่วงทดเวลา 90+5 จากการฟาวล์หนักใส่ตัวรุกหงส์
สุดท้ายราชันชุดขาวไม่อาจหาประตูตีเสมอได้ จบเกม ลิเวอร์พูล 1-0 เรอัล มาดริด แอนฟิลด์ฉลองชัยชนะเหนือศัตรูตัวฉกาจอีกครั้งหนึ่ง

📋 รายชื่อนักเตะตัวจริง นักเตะโดดเด่น และการเปลี่ยนตัว
🔴 ลิเวอร์พูล (4-2-3-1) – เรตติ้ง Sofascore
ผู้รักษาประตู
- 25 จอร์จี้ มามาร์ดาชวิลี – 6.7
กองหลัง
- 12 คอเนอร์ แบรดลีย์ – 7.2
- 5 อิบราฮิมา โกนาเต้ – 6.7
- 4 เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ (กัปตัน) – 6.7
- 26 แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน – 7.2 (ถูกเปลี่ยนออก 88′)
กองกลางตัวรับคู่
- 38 ไรอัน กราเวนเบิร์ช – 6.8
- 8 ดามโบ ซิโบสลาย – 6.9 (แอสซิสต์ประตูชัย)
ตัวรุกกึ่งกลาง
- 10 อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ – 7.6 (ยิง 1 ประตู, ใบเหลือง 52′)
สามแนวรุกด้านหลังหน้าเป้า
- 7 ฟลอเรียน เวิร์ตซ์ – 7.2 (ถูกเปลี่ยนออก 88′)
- 11 โมฮาเหม็ด ซาลาห์ – 7.8
- 22 ฮูโก้ เอคิติเก้ – 6.4 (ถูกเปลี่ยนออก 79′)
ตัวสำรองที่ถูกใช้งาน
- 17 เคอร์ติส โจนส์ – 6.6 (ลงแทน แม็ค อัลลิสเตอร์ นาที 79)
- 18 โคดี้ กัคโป – 5.9 (ลงแทน เอคิติเก้ นาที 79)
- 6 มิโลช เคอร์เคซ – 6.6 (ลงแทน โรเบิร์ตสัน นาที 88)
- 14 เฟเดริโก้ เคียซ่า – 6.6 (ลงแทน เวิร์ตซ์ นาที 88)
ตัวสำรองไม่ได้ลงสนาม
เฟร็ดดี้ วูดแมน, คอร์เนล มิสเซียูร์, โจ โกเมซ, วาตารุ เอนโด, ริโอ งูมอโฮะ
⚪ เรอัล มาดริด (4-1-4-1) – เรตติ้ง Sofascore
ผู้รักษาประตู
- 1 ติโบต์ กูร์กตัวส์ – 8.0
กองหลัง
- 18 อเลฆานโดร การ์เรราส – 6.7 (ใบเหลือง 90+5′)
- 24 ดานี่ ฮุยเซน – 6.4 (ใบเหลือง 45+1′)
- 3 เอแดร์ มิลิเตา – 7.3
- 8 เฟเดริโก้ วัลเวร์เด้ (กัปตัน) – 7.1 (ถูกเปลี่ยนออก 90′)
มิดฟิลด์ตัวรับ
- 14 ออเรลียง ชูอาเมนี่ – 7.3
สี่ตัวรุกแดนกลาง
- 6 เอดูอาร์โด้ คามาวินก้า – 6.7 (ถูกเปลี่ยนออก 69′)
- 15 อาร์เซน กูเลอร์ – 6.5 (ถูกเปลี่ยนออก 81′)
- 5 จู๊ด เบลลิงแฮม – 6.4 (ใบเหลือง 60′)
- 7 วินิซิอุส จูเนียร์ – 6.0 (ใบเหลือง 23′)
หน้าเป้า
- 10 คิลิยัน เอ็มบัปเป้ – 7.3
ตัวสำรองที่ถูกใช้งาน
- 11 โรดรีโก้ – 6.3 (ลงแทน คามาวินก้า นาที 69)
- 12 เทรนต์ อเล็กซานเดอร์–อาร์โนลด์ – 6.7 (ลงแทน กูเลอร์ นาที 81)
- 21 บราฮิม ดิอาซ – 6.6 (ลงแทน วัลเวร์เด้ นาที 90)
ตัวสำรองไม่ได้ลงสนาม
อังเดรย์ ลูนิน, ฟราน กอนซาเลซ, ราอูล อาเซนซิโอ, ฟราน การ์เซีย, แฟร์กล็องด์ เมนดี้, ดานี่ เซบายอส, เอ็นดริก, กอนซาโล การ์เซีย
⭐ นักเตะโดดเด่น
- โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (ลิเวอร์พูล) – ตัวป่วนแนวรับราชัน ยิงและสร้างโอกาสตลอดเกม
- อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ (ลิเวอร์พูล) – ยิงประตูชัย คุมจังหวะกลางสนามเยี่ยม
- ติโบต์ กูร์กตัวส์ (เรอัล มาดริด) – เซฟสำคัญหลายครั้งแม้ทีมแพ้
- ออเรลียง ชูอาเมนี่ (เรอัล มาดริด) – เป็นแกนหลักในการเริ่มเกมรุกและตัดเกม
🧠 วิเคราะห์บอลการรุกและการรับ
มุมมองเชิง วิเคราะห์บอล เกมนี้ชัดเจนว่า ลิเวอร์พูลชนะเพราะ “ระบบเพรสซิ่งและความกล้าเสี่ยง” ขณะที่เรอัล มาดริดแพ้เพราะ “ขาดความคมหน้าเขตโทษ”
หงส์แดงในระบบ 4-2-3-1 ใช้ กราเวนเบิร์ช กับ ซิโบสลาย เป็นกองกลางตัวคู่ที่มีทั้งพละกำลังและการจ่ายบอลแนวตั้ง เมื่อบีบคู่แข่งได้ในแดนกลาง จะเห็นการแทงทะลุช่องให้กลุ่มตัวรุกวิ่งทำทางทันที เวิร์ตซ์หุบเข้ากลางเพื่อเชื่อมเกมกับแม็ค อัลลิสเตอร์ ทำให้แบ็กทั้งสองข้างมีพื้นที่เติมสูง ส่วน ซาลาห์ ถูกปล่อยให้ยืนกว้างทางขวา คอยดึงตัวประกบและหักเข้าซ้ายปั่นหรือเปิดเข้ากลาง การเคลื่อนที่เหล่านี้ทำให้แนวรับราชันต้องถอยลึก และเปิดพื้นที่นอกกรอบให้แม็ค อัลลิสเตอร์ยิงเต็มข้อในจังหวะประตูชัย
เกมรับลิเวอร์พูลเน้นยืนบล็อกกลางให้แน่น คู่เซ็นเตอร์ไม่ดันเกินเส้นกลางมากนัก ปล่อยให้มิดฟิลด์กับแบ็กเพรสด้านหน้า ถ้าถูกเจาะมาถึงหน้าเขตโทษ ฟาน ไดค์ จะเป็นคนดันขึ้นบีบบอล ส่วนโกนาเต้ยืนรอซ้อน ทำให้เอ็มบัปเป้กับวินิซิอุสที่ชอบลากตัดเข้าในไม่มีพื้นที่ตามถนัด
ด้านเรอัล มาดริด เลือกเล่น 4-1-4-1 ที่เน้นคอนโทรลบอล ชูอาเมนี่ยืนต่ำเปิดบอลจากหลังขึ้นหน้า ใช้ เบลลิงแฮมคอยเชื่อมระหว่างกลางกับหน้าเป้า จุดเด่นคือการต่อบอลสั้นแม่นยำ การหมุนตำแหน่งระหว่าง วัลเวร์เด้ – คามาวินก้า – กูเลอร์ ทำให้ทีมครองบอลได้มากกว่า แต่จุดอ่อนคือจังหวะ “แทงทะลุแนวรับสุดท้าย” ไม่มีใครเล่นบอลเสี่ยงมากพอ บอลจึงวนอยู่รอบๆ เขตโทษโดยไม่สามารถทะลุเข้าไปจบสกอร์
เมื่อถูกนำ 1-0 แผนสำรองของอลอนโซ่คือโยนตัวรุกเพิ่มอย่าง โรดรีโก้ และดันเอ็มบัปเป้ไปเล่นตรงกลางมากขึ้น แต่ก็ยังติดปัญหาเดิม คือเจอแนวรับลิเวอร์พูลถอยลงปิดพื้นที่ด้านใน ไม่ปล่อยให้เล่นบอลสั้นหน้าประตูได้ถนัด ความพยายามจบด้วยการยิงไกลและครอสจากริมเส้น ซึ่งลิเวอร์พูลรับมือได้ดี
ผลสรุปทางแท็กติกจึงชัดเจนว่า แอนฟิลด์กลืนระบบคุมบอลของราชันลงท้องด้วยเพรสซิ่งเข้มข้นและจังหวะเข้าทำเฉียบขาดกว่า

📈 สถิติการแข่งขัน
แม้ลิเวอร์พูลจะครองบอลน้อยกว่าเพียง 43% แต่ความอันตรายกลับสูงกว่าอย่างชัดเจน หงส์แดงยิงทั้งหมด 14 ครั้ง เข้ากรอบถึง 9 ครั้ง ขณะที่เรอัล มาดริดยิงเพียง 7 ครั้ง เข้ากรอบแค่ 2 ครั้ง แสดงให้เห็นว่าทุกครั้งที่เจ้าถิ่นได้ลุ้น มักจบด้วยการยิงตรงกรอบ ส่วนฝั่งราชันแม้จะมีอัตราความแม่นยำในการส่งบอลถึง 91% จากจำนวน 482 ครั้ง แต่การจ่ายส่วนใหญ่เกิดในพื้นที่ที่ไม่อันตราย
เกมนี้มีฟาวล์รวม 27 ครั้ง ลิเวอร์พูลทำ 14 มาดริด 13 ใบเหลืองเจ้าบ้าน 1 ใบจากแม็ค อัลลิสเตอร์ ส่วนทีมเยือนโดนไปถึง 4 ใบ (วินิซิอุส, ฮุยเซน, เบลลิงแฮม, การ์เรราส) สะท้อนความกดดันที่แนวรับต้องใช้การตัดเกมหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ลูกเตะมุม ลิเวอร์พูลได้ 4 ครั้ง มาดริด 2 ครั้ง บ่งบอกว่าหงส์สร้างโอกาสกดดันในเขตโทษได้มากกว่าชัดเจน
⏱️ เหตุการณ์สำคัญในเกม
- 🟨 23′ – วินิซิอุส จูเนียร์ (เรอัล มาดริด) ทำฟาวล์หนัก โดนใบเหลืองแรกของเกม
- 🎥 32′ – VAR เช็กจังหวะในเขตโทษลิเวอร์พูล ก่อนยืนยัน “ไม่ให้จุดโทษ” ตามเดิม ทำแฟนชุดขาวเซ็งทั้งสนาม
- 🟨 45+1′ – ดานี่ ฮุยเซน เข้าบอลช้าใส่ตัวรุกหงส์ รับใบเหลืองก่อนจบครึ่งแรก
- 🟨 52′ – อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ฟาวล์กลางสนาม โดนใบเหลืองแต่ยังอยู่ในเกม
- 🟨 60′ – จู๊ด เบลลิงแฮม ตัดเกมสวนกลับ โดนใบเหลืองบ้าง
- ⚽ 61′ – ลิเวอร์พูลออกนำ 1-0 จากจังหวะที่ ดามโบ ซิโบสลาย ไหลบอลให้ แม็ค อัลลิสเตอร์ ซัดเต็มข้อผ่านมือกูร์กตัวส์
- 🔁 69′ – เรอัล มาดริดส่ง โรดรีโก้ ลงแทน คามาวินก้า หวังเร่งเกมรุกริมเส้น
- 🔁 79′ – ลิเวอร์พูลเปลี่ยนสองคนรวด ส่ง เคอร์ติส โจนส์ แทน แม็ค อัลลิสเตอร์ และ โคดี้ กัคโป แทน เอคิติเก้ เพื่อเติมความสด
- 🔁 81′ – ชุดขาวส่ง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์–อาร์โนลด์ ลงแทน กูเลอร์ เสริมการเปิดบอลด้านขวา
- 🔁 88′ – หงส์แดงทยอยถอดตัวหลัก ออกให้ มิโลช เคอร์เคซ แทน โรเบิร์ตสัน และ เฟเดริโก้ เคียซ่า แทน เวิร์ตซ์
- 🟨 90+5′ – การ์เรราส เข้าบอลช้าโดนใบเหลืองช่วงท้ายเกม
- ⏱️ FT – จบเกม ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเฉือน เรอัล มาดริด 1-0
🏆 Player of the Match – ติโบต์ กูร์กตัวส์ กำแพงสุดท้ายแม้ทีมพ่าย
แม้ฝั่งผู้ชนะจะมีฮีโร่อย่าง แม็ค อัลลิสเตอร์ และ ซาลาห์ แต่รางวัล Player of the Match จาก Sofascore กลับตกเป็นของ ติโบต์ กูร์กตัวส์ ด้วยคะแนน 8.0 และบ้านกีฬาก็เห็นด้วยเต็มๆ
ผู้รักษาประตูเบลเยียมเซฟลูกยิงยากๆ ของซาลาห์, เวิร์ตซ์ และเอคิติเก้ หลายครั้ง รวมถึงจังหวะหลุดเดี่ยวที่ใช้ความใหญ่และการยืนตำแหน่งบีบมุมจนหงส์แดงต้องเสียวหัวใจ แม้จะเสียประตูให้แม็ค อัลลิสเตอร์ ซึ่งแทบเซฟไม่ได้อยู่แล้ว แต่ภาพรวมคือฟอร์มระดับเวิลด์คลาสที่ช่วยให้สกอร์ไม่ขาด หากไม่มีเขา เรอัล มาดริด อาจโดนสกอร์ 2–3 ลูกแบบไม่มีอะไรเกินจริง

📌 สถานการณ์ในตารางคะแนนยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
เมื่อมองจากตารางคะแนนรวมของ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก หลังจบนัดที่ 4 จะเห็นว่าภาพรวมยังนำโดย บาเยิร์น มิวนิค และ อาร์เซนอล ที่มี 12 แต้มเต็ม ขณะที่ เรอัล มาดริด ซึ่งก่อนเกมยังยืนอยู่ในกลุ่มหัวตาราง ตอนนี้มี 7 คะแนนจาก 4 นัด (ชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ 1) ถูกทีมอื่นเริ่มจี้เข้ามาใกล้
ด้าน ลิเวอร์พูล เก็บชัยนัดสำคัญ ทำให้มี 9 คะแนนจาก 4 เกม ขยับตัวเองขึ้นมาบนกลุ่มท็อปเท็นของยุโรปอีกครั้ง และที่สำคัญคือการชิงเฮดทูเฮดเหนือราชันชุดขาวในนัดเหย้า ซึ่งอาจมีผลอย่างยิ่งต่อการจัดอันดับหากคะแนนสูสีในตอนจบของรอบแบ่งกลุ่ม
ชัยชนะ 1-0 นี้จึงไม่ใช่แค่สามแต้มธรรมดา แต่คือการส่งสัญญาณให้ทั้งยุโรปเห็นว่า “ลิเวอร์พูลยุคใหม่ของสลอต” พร้อมกลับมาท้าชิงถ้วยบิ๊กเอียร์เต็มตัว ขณะที่มาดริดต้องเร่งเก็บชัยในเกมต่อๆ ไป หากไม่อยากลุ้นเหนื่อยในนัดสุดท้ายของกลุ่ม
📅 ตารางบอลยูฟ่า และโปรแกรมถัดไปของทั้งสองทีม
จากภาพ ตารางบอล หลังจบศึกยุโรป หงส์แดงและราชันต้องหันไปลุยงานหนักในลีก
ฝั่ง ลิเวอร์พูล มีโปรแกรมพรีเมียร์ลีกเปิดบ้านเจอ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ก่อนยกพลบุกเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเกมบิ๊กแมตช์ที่อาจส่งผลต่อการลุ้นแชมป์ลีกโดยตรง ฟอร์มจากชัยชนะเหนือมาดริดจะช่วยเติมความมั่นใจให้ทีมอย่างมาก
ส่วน เรอัล มาดริด ต้องกลับไปเน้นลา ลีกา มีคิวบุกเยือน ราโย บาเยกาโน่ และ เอลเช่ ใน โปรแกรมบอล ช่วงต่อไป ซึ่งถือเป็นโอกาสดีในการเรียกศรัทธากลับมา ถ้าเก็บ 6 แต้มเต็มได้ก็จะช่วยลดแรงกดดันก่อนกลับมาเตะยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอีกครั้ง
โปรแกรมรอบต่อไปในถ้วยยุโรปของทั้งคู่ยังต้องรอติดตามคำประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ที่แน่ๆ หลังผลคืนนี้ กลุ่มที่มีลิเวอร์พูลและเรอัล มาดริด จะกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มที่เดือดที่สุดของซีซันนี้แน่นอน
🏠 ติดตาม บ้านผลบอล ที่บ้านกีฬา
แฟนบอลที่อยากตามทุกจังหวะของศึกยุโรปแบบไม่พลาดแม้แต่นาทีเดียว บ้านกีฬา ขอชวนให้เปิดหน้าเว็บเช็ก บ้านผลบอล กับเราเอาไว้ ทั้งสกอร์สด, สถิติหลังเกม, ไฮไลต์ และบทวิเคราะห์ดุเดือดในทุกคู่ใหญ่–เล็ก เราจัดให้ครบเหมือนมีเพื่อนคอบอลนั่งเล่าให้ฟังข้างสนาม
ไม่ว่าคุณจะรอลุ้นลิเวอร์พูล, เรอัล มาดริด หรือทีมรักทีมไหน แวะมาดูผลแข่ง–สรุปเกม–เช็ก ตารางบอล และ โปรแกรมบอล ล่วงหน้าที่บ้านกีฬา รับรองว่าไม่ตกข่าว ไม่ตกเทรนด์ลูกหนังโลกอย่างแน่นอน

