คณะวินัยฯ เคาะบทลงโทษจากเหตุการณ์ฉาวเกมลีกสอง
วันที่ 29 ตุลาคม 2568 สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ประกาศผลการประชุมของ “คณะกรรมการพิจารณาวินัย มารยาท” ครั้งที่ 10 ประจำฤดูกาล 2025/26 โดยมีการพิจารณากรณีเหตุการณ์ไม่ปกติในเกม บีวายดี ซีล ไฟว์ ลีกสอง นัดที่ 9 เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ที่ผ่านมา เกมที่ แพร่ ยูไนเต็ด เปิดรังสนามห้วยม้า สเตเดียม พ่าย บางกอก เอฟซี ไป 1-2 ซึ่งกลายเป็นแมตช์ร้อนแรงหลังมีประเด็นการ เหยียดผิว เกิดขึ้นกลางเกม
นาทีเดือด! “ดูดู้” โดนแฟนเจ้าถิ่นตะโกนเหยียด
เหตุการณ์เกิดขึ้นในนาทีที่ 51 ของการแข่งขัน เมื่อผู้ตัดสินได้รับแจ้งจาก “ดูดู้” คาร์ลอส ลิม่า แข้งชาวบราซิลของบางกอก เอฟซี ว่ามีกองเชียร์ฝั่งเจ้าบ้านตะโกนล้อเลียนด้วยถ้อยคำเหยียดผิว ทำให้ผู้ตัดสินต้องหยุดเกมชั่วคราวทันที พร้อมแจ้งผู้ควบคุมการแข่งขันเพื่อจัดการแก้ไขสถานการณ์ โดยมีคำสั่งให้ แพร่ ยูไนเต็ด เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกว่า 20 นาย เข้าประจำจุดเกิดเหตุเพื่อควบคุมสถานการณ์ ใช้เวลาราว 8 นาที ก่อนที่เกมจะกลับมาแข่งขันต่อจนจบตามปกติ
สมาคมฯ สั่งปรับ 20,000 บาท ตามระเบียบวินัยชัดเจน
หลังการตรวจสอบหลักฐานและรายงานจากผู้ควบคุมการแข่งขัน คณะกรรมการวินัยฯ มีมติชัดเจนว่า พฤติกรรมของกองเชียร์แพร่ ยูไนเต็ด เข้าข่ายเยาะเย้ย ดูหมิ่น และเหยียดหยาม ซึ่งเป็นการละเมิด ระเบียบว่าด้วยการลงโทษฯ บทที่ 3 หมวดที่ 2 ข้อ 4.1 วรรคสอง โดยปกติจะต้องปรับเงิน 30,000 บาท แต่เนื่องจากเกมนี้เป็นระดับ ไทยลีก 2 จึงพิจารณาลดโทษเหลือเพียง 20,000 บาท ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในระเบียบ
เปิดระเบียบชัด! การเหยียดผิวถือเป็นความผิดร้ายแรง
ตามข้อ 4.1 ของระเบียบสมาคมฯ ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “ด่าบุคคลใดด้วยถ้อยคำหยาบคาย หรือแสดงกิริยาเยาะเย้ย ดูหมิ่น เหยียดหยาม รวมถึงการเหยียดผิวหรือเชื้อชาติ ถือเป็นความผิดร้ายแรง มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 บาท ถึง 30,000 บาท” และหากการกระทำเกิดขึ้นพร้อมกันหลายคน จะเพิ่มโทษปรับตั้งแต่ 20,000 บาทถึง 40,000 บาท ขณะที่หากใช้เครื่องขยายเสียง หรือถ่ายทอดสดผ่านช่องทางออนไลน์จะถูกปรับสูงสุดถึง 50,000 บาท พร้อมห้ามนำอุปกรณ์เข้าชมเกมอีก 1–4 นัด
สมาคมฯ เดินหน้าต่อต้านการเหยียดผิวในสนามบอลไทย
เหตุการณ์นี้ถือเป็นอีกหนึ่งบทเรียนสำคัญของฟุตบอลไทย ที่สมาคมฯ ต้องการย้ำจุดยืนในการต่อต้านการเหยียดผิวทุกรูปแบบในสนามกีฬา โดยพร้อมเดินหน้ารณรงค์อย่างต่อเนื่อง ทั้งในระดับสโมสรและแฟนบอลทั่วประเทศ เพื่อสร้างบรรยากาศการแข่งขันที่ปลอดภัยและให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสีผิว เชื้อชาติ หรือศาสนา
มุมมองจากแวดวงลูกหนังต่อกรณี “ดูดู้”
แม้เหตุการณ์จะถูกจัดการอย่างเป็นทางการแล้ว แต่เสียงสะท้อนจากวงการลูกหนังก็ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง หลายฝ่ายมองว่าการเหยียดผิวไม่ควรมีที่ยืนในวงการฟุตบอล โดยเฉพาะในยุคที่ไทยลีกกำลังมุ่งหน้าสู่มาตรฐานอาชีพเต็มรูปแบบ การลงโทษที่เด็ดขาดเช่นนี้จะเป็นสัญญาณเตือนให้ทุกสโมสรตระหนักถึงความรับผิดชอบของแฟนบอลตนเอง
ฟุตบอลไม่ควรมีพื้นที่ให้ “ความเกลียดชัง”
ฟุตบอลคือกีฬาที่รวมผู้คนต่างเชื้อชาติและวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกัน ความงดงามของเกมลูกหนังอยู่ที่ความเคารพซึ่งกันและกัน การเหยียดผิวหรือใช้คำพูดก้าวร้าวไม่เพียงทำลายบรรยากาศในสนาม แต่ยังทำลายภาพลักษณ์ของลีกและประเทศ การรักษามาตรฐานทางจริยธรรมจึงเป็นสิ่งจำเป็นหากฟุตบอลไทยต้องการก้าวสู่ระดับสากลในอนาคต
สังคมลูกหนังต้องร่วมมือสร้างวัฒนธรรมแฟนบอลที่ดี
จากนี้ไป สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่การลงโทษ แต่คือการปลูกจิตสำนึกให้แฟนบอลเข้าใจว่า “เสียงของพวกเขา” มีพลังมหาศาล สามารถสร้างแรงบวกให้กับทีม หรือทำลายชื่อเสียงสโมสรได้ในพริบตา ทุกคนในสนามคือส่วนหนึ่งของเกมฟุตบอล และมีหน้าที่รักษาความยุติธรรม ความปลอดภัย และความเคารพให้เกิดขึ้นในทุกแมตช์ที่พวกเขาเข้าไปชม
ร่วมจับตาความเคลื่อนไหวในวงการลูกหนังไทย
สมาคมฯ ยืนยันว่าจะเข้มงวดกับทุกกรณีในอนาคตเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก และเตรียมเพิ่มมาตรการตรวจสอบพฤติกรรมแฟนบอลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สนามฟุตบอลเป็นพื้นที่ของ “ความสุข” มากกว่า “ความเกลียดชัง” ติดตามความคืบหน้าและข่าวสารวงการฟุตบอลไทยได้ที่ ข่าวบอลไทยบ้านกีฬา เว็บข่าวบอลที่แฟนลูกหนังไทยไม่ควรพลาด
