สั่นสะเทือนวงการลูกหนังไทย
กลายเป็นข่าวใหญ่กลางเดือนตุลาคม เมื่อ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ประกาศ ปลด มาซาทาดะ อิชิอิ พ้นตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยชุดใหญ่ หลังการประเมินของฝ่ายเทคนิคพบว่าแนวทางการทำทีมของกุนซือชาวญี่ปุ่นรายนี้ ไม่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ และทิศทางการพัฒนาทีมในระยะยาวของสมาคมฯ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญก่อนเข้าสู่ช่วงโปรแกรมสำคัญใน ฟีฟ่า เดย์ เดือนพฤศจิกายน 2568
สมาคมฯ เตรียมเดินหน้าหากุนซือคนใหม่มาคุมทัพช้างศึกให้ได้ทัน ก่อนเกมอุ่นเครื่องกับ สิงคโปร์ วันที่ 13 พฤศจิกายน และเกมบุกเยือน ศรีลังกา วันที่ 18 พฤศจิกายน ในศึก เอเชียนคัพ 2027 รอบคัดเลือก นัดที่ 5
การตัดสินใจที่ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน
แหล่งข่าวระบุว่า การปลดอิชิอิไม่ใช่เรื่องกะทันหัน แต่เป็นผลจากกระบวนการประเมินผลงานอย่างละเอียดของฝ่ายเทคนิคตลอดช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะทิศทางการวางระบบทีมและพัฒนาศักยภาพนักเตะที่ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายของสมาคมฯ
เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 มีการประชุมใหญ่ที่ที่ทำการสมาคมฯ โดยมี ดร.ชาญวิทย์ ผลชีวิน อุปนายกสมาคมฯ, ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน สภากรรมการ, เอกพล พลนาวี เลขาธิการสมาคมฯ และ มาซาทาดะ อิชิอิ เข้าร่วมหารือ ก่อนแจ้งมติ ยุติสัญญาอย่างเป็นทางการ
ผลงานในสนามที่ไม่เพียงพอต่อความคาดหวัง
แม้ว่าอิชิอิจะพาช้างศึกลงสนามไปทั้งหมด 30 นัด และเก็บชัยชนะได้ 16 นัด คิดเป็นอัตราชนะ 53% ซึ่งถือว่าไม่น้อยสำหรับการทำทีมชาติ แต่ผลงานในระดับเอเชีย เช่น ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก และ เอเชียนคัพ ยังไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมได้มากพอที่จะตอบโจทย์ความคาดหวังของแฟนบอลและฝ่ายบริหาร
สมาคมฯ จึงมองว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็น “ทางเลือกเชิงกลยุทธ์” เพื่อปรับทิศทางทีมชาติไทยให้สามารถแข่งขันกับชาติระดับท็อปของเอเชียได้อย่างแท้จริง
ถ้อยแถลงจากสมาคมฯ
สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้ออกแถลงการณ์ชัดเจนถึงการแยกทางครั้งนี้ว่า
“สมาคมฯ ขอขอบคุณ มาซาทาดะ อิชิอิ และทีมสตาฟฟ์โค้ชทุกคนสำหรับความมุ่งมั่นในการยกระดับทีมชาติไทย พร้อมอวยพรให้ประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพต่อไป”
ข้อความนี้สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่จากกันด้วยความเคารพ แม้ผลลัพธ์ในสนามจะไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แต่ความทุ่มเทของกุนซือชาวญี่ปุ่นก็เป็นสิ่งที่สมาคมฯ และแฟนบอลจดจำ
โฟกัสต่อไป: คัดเลือกกุนซือใหม่
ฝ่ายเทคนิคของสมาคมฯ เร่งเดินหน้า คัดเลือกกุนซือคนใหม่ของทีมชาติไทย ให้ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น เพื่อให้ทีมมีความพร้อมมากที่สุดก่อน 2 แมตช์สำคัญในเดือนพฤศจิกายน โดยเฉพาะเกม เอเชียนคัพ 2027 รอบคัดเลือก ที่จะเป็นบทพิสูจน์สำคัญของทีมชาติไทยในยุคเปลี่ยนผ่าน
ว่าที่กุนซือคนใหม่จะต้องเป็นผู้ที่สามารถต่อยอดโครงสร้างทีมที่อิชิอิได้วางไว้ พร้อมปรับแนวทางให้สอดคล้องกับเป้าหมายใหญ่ระดับเอเชียในระยะยาว
ความสำคัญของการเปลี่ยนโค้ชในจังหวะนี้
สำหรับแฟนบอลไทยหลายคน การเปลี่ยนกุนซือก่อนโปรแกรมสำคัญอาจเป็นความเสี่ยง แต่ในอีกมุมหนึ่งนี่คือโอกาสสำคัญในการ “รีเซต” ระบบการเล่นของทีมชาติไทยให้ทันกับจังหวะการแข่งขันระดับทวีป การมีกุนซือที่เข้าใจจุดแข็ง–จุดอ่อนของทีมและสามารถวางแท็กติกให้สอดคล้องกับสไตล์เอเชียยุคใหม่ อาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะยกระดับช้างศึกในอนาคต
สายตาแฟนบอลจับจ้องอนาคตช้างศึก
หลังยุคของมาซาทาดะ อิชิอิ สิ่งที่แฟนบอลไทยอยากเห็นคือทีมชาติที่แข็งแกร่งขึ้น มีระบบเกมที่ชัดเจน และสามารถสู้กับทีมชั้นนำได้อย่างสูสี การเลือกโค้ชคนใหม่จึงไม่ใช่แค่เรื่องของแท็กติกในสนาม แต่เป็นการวางรากฐานสำคัญของฟุตบอลไทยในระยะยาว
แฟนบอลไทยทั่วประเทศต่างเฝ้ารอว่าใครจะเข้ามารับตำแหน่งนี้ และจะพาทีมก้าวไปอีกระดับได้หรือไม่
แฟนบอลห้ามพลาดข่าวช้างศึก
สถานการณ์ครั้งนี้คือจุดเปลี่ยนสำคัญของฟุตบอลไทย และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่เข้มข้นยิ่งกว่าเดิม แฟนบอลเตรียมจับตาให้ดีว่า สมาคมฟุตบอลฯ จะเลือกใครเป็นผู้นำพาช้างศึกเดินหน้าสู่ความสำเร็จบนเวทีเอเชีย
อย่าพลาดทุกความเคลื่อนไหวของทีมชาติไทย ติดตามได้ที่ ข่าวบอลไทยบ้านกีฬา
